[CU-MOOC] หลักการพื้นฐานทางกฎหมายทั่วไป - บทที่ 5: ขอบเขตการใช้กฎหมายด้านเวลา
---
สงสัยเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ พรบ เชื้อโรค และ cannabis legalization แล้ว โชคดีที่ CHU-MOOC ทำคอร์สตัวนี้ไว้ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น
---
ตัวคอร์ส https://youtu.be/VQpPcllFJHk
ขอบเขตการใช้กฎหมายด้านเวลา (ตอนที่ 1) ได้มีการอธิบายถึงหลักเกณฑ์สำคัญในการเริ่มต้นบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสามารถแจกแจงรายละเอียดได้ดังนี้ครับ:
1. บริบทของขอบเขตการใช้กฎหมาย
โดยปกติแล้ว เมื่อรัฐประกาศใช้กฎหมาย กฎหมายนั้นจะมีขอบเขตการบังคับใช้ใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านสถานที่ (ใช้ภายในดินแดนประเทศนั้น), ด้านบุคคล (ใช้กับทุกคนที่อยู่ในดินแดนไม่ว่าสัญชาติใด) และ ด้านเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของบทนี้,
2. เงื่อนไขการประกาศใช้กฎหมาย
เพื่อให้ประชาชนรับทราบและปฏิบัติตามได้ กฎหมายส่วนใหญ่ต้องมีการประกาศให้ทราบทั่วกัน:
- กฎหมายระดับประเทศ: เช่น รัฐธรรมนูญ, พระราชบัญญัติ, พระราชกำหนด, กฎกระทรวง และประกาศกระทรวง จะต้องนำไปประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา จึงจะมีผลบังคับใช้ได้,
- กฎหมายส่วนท้องถิ่น: เช่น ข้อบัญญัติท้องถิ่น (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) อาจใช้วิธีปิดประกาศ ณ ที่ทำการในท้องถิ่นนั้นตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 7, 15 หรือ 30 วัน)
- กรุงเทพมหานคร: ข้อบัญญัติของ กทม. มีเงื่อนไขพิเศษคือต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น
3. รูปแบบการกำหนดวันบังคับใช้ (4 กรณีหลัก)
แหล่งข้อมูลได้ระบุถึงวิธีการเขียนกำหนดวันเริ่มบังคับใช้กฎหมายที่นิยมใช้ 4 รูปแบบ ดังนี้:
- กรณีปกติ (ใช้ถัดจากวันประกาศ): กฎหมายจะเขียนว่า "ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป" หมายความว่าถ้าประกาศวันนี้ จะมีผลบังคับใช้เมื่อเลยเที่ยงคืนของวันนี้ไปแล้ว,
- ตัวอย่าง: พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541
- กรณีจำเป็นรีบด่วน (ใช้ในวันประกาศ): กฎหมายจะเขียนว่า "ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป",
- ข้อสังเกต: หากประกาศตอน 16:00 น. แต่กฎหมายมีผล "ตั้งแต่วันที่ประกาศ" จะทำให้กฎหมายนั้นมีผลครอบคลุมย้อนไปถึงหลังเที่ยงคืนของวันนั้น (ซึ่งเท่ากับย้อนหลังไปเล็กน้อยในช่วงเวลาของวันเดียวกัน),
- ตัวอย่าง: พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ พ.ศ. 2534
- กรณีที่ต้องเตรียมความพร้อม: กฎหมายจะระบุให้มีผลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้รัฐหรือเอกชนมีเวลาเตรียมการรองรับ
- ตัวอย่าง: "ให้ใช้บังคับเมื่อพ้น 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา",
- กรณีที่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม: กฎหมายประกาศใช้แล้วแต่ยังไม่บังคับใช้ทันที โดยจะระบุว่าการจะนำไปใช้ในท้องที่ใดหรือเมื่อใด ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศระบุอีกชั้นหนึ่ง (กรณีนี้หาตัวอย่างได้ค่อนข้างยาก),
สรุป: หลักการสำคัญของการใช้กฎหมายด้านเวลาคือ กฎหมายโดยทั่วไปจะ ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และต้องผ่านกระบวนการประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการก่อนเสมอ,
การเริ่มต้นของกฎหมาย เปรียบเสมือน "การลั่นกลองรบ" ในสนามแข่งครับ บางครั้งกลองดังปุ๊บต้องเริ่มวิ่งทันที (กรณีรีบด่วน) แต่บางครั้งกลองดังเพื่อเป็นสัญญาณว่าให้เตรียมตัว แล้วค่อยเริ่มวิ่งในเช้าวันถัดไปหรือตามเวลาที่นัดหมายกันไว้ เพื่อให้ทุกคนในสนามมีความพร้อมและเข้าใจกติกาอย่างเท่าเทียมกันครับ
--1. กรณีการกำหนดเวลาบังคับใช้ในอนาคตเพื่อการเตรียมตัว (กรณีที่ 3)
กฎหมายบางฉบับจำเป็นต้องให้เวลาทั้งภาครัฐและเอกชนในการเตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติตามเนื้อหา หากบังคับใช้ทันทีอาจสร้างความวุ่นวายในสังคมได้:
- ตัวอย่าง 1: พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 กำหนดให้ใช้บังคับเมื่อ พ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา.
- ตัวอย่าง 2: พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กำหนดให้ใช้บังคับเมื่อ พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา.
- เหตุผลที่ระยะเวลาต่างกัน: ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ร่างกฎหมายว่าเนื้อหาในฉบับนั้น ๆ จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการมากน้อยเพียงใด.
2. กรณีประกาศใช้แล้วแต่จะบังคับจริงเมื่อมีเงื่อนไข (กรณีที่ 4)
เป็นกรณีที่กฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว แต่การจะนำไปใช้จริงในพื้นที่ใดหรือเวลาใด ต้องมีการออก "กฎหมายลูกบท" (เช่น ประกาศหรือพระราชกฤษฎีกา) ระบุอีกชั้นหนึ่ง,:
- กฎหมายอัยการศึก พ.ศ. 2457: แม้จะประกาศใช้มานานกว่า 100 ปี แต่จะใช้ในพื้นที่ใด (เช่น ชายแดนหรือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ต้องมีการออกประกาศใช้เป็นรายกรณีไป ไม่ได้แปลว่าบังคับทั่วประเทศทันทีที่ประกาศใช้กฎหมายแม่บท,.
- พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548: กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ทั่วไป แต่การจะประกาศให้พื้นที่ใดเป็น "สถานการณ์ฉุกเฉิน" นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะต้องออกประกาศระบุพื้นที่นั้น ๆ เช่น เฉพาะในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น,.
- ระดับความเข้มข้น: หากสถานการณ์รุนแรงจนพระราชกำหนดฉบับนี้เอาไม่อยู่ รัฐอาจยกระดับไปใช้กฎหมายที่มีความเข้มข้นกว่าคือ กฎอัยการศึก.
3. กรณีพิเศษ: การแบ่งส่วนบังคับใช้ไม่พร้อมกันในฉบับเดียว
กฎหมายฉบับเดียวกันสามารถกำหนดให้บางส่วนมีผลทันที และบางส่วนมีผลในอนาคตได้:
- ตัวอย่าง: พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 กำหนดให้ส่วนใหญ่ของกฎหมายใช้บังคับ ถัดจากวันประกาศ แต่ยกเว้น หมวด 3 ที่ให้ใช้บังคับเมื่อ พ้นกำหนด 360 วัน (ประมาณ 1 ปี) เนื่องจากผู้ร่างเห็นว่าหมวดดังกล่าวต้องใช้เวลาเตรียมการนานเป็นพิเศษ,.
4. ข้อสังเกตโครงสร้างมาตราในกฎหมาย
แหล่งข้อมูลให้ข้อสังเกตว่าเราสามารถทราบชื่อและวันบังคับใช้ของกฎหมายทุกฉบับได้จากมาตราแรก ๆ:
- มาตรา 1: มักจะเป็นการระบุ ชื่อของกฎหมาย ฉบับนั้น ๆ,.
- มาตรา 2: มักจะเป็นบทบัญญัติที่กำหนด วันและเวลาในการเริ่มใช้บังคับ.
สรุป: การใช้กฎหมายด้านเวลาไม่ได้มีเพียงแค่การเริ่มใช้ทันที แต่ยังมีการ "หน่วงเวลา" เพื่อความพร้อม หรือการ "ระบุเงื่อนไขพื้นที่" ผ่านกฎหมายลูก เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความเหมาะสมกับสถานการณ์จริงและไม่สร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควรครับ,.
1. คดีอาชญากรสงคราม (ฎีกาที่ 1/2489): คดีแลนด์มาร์กของไทย
แหล่งข้อมูลระบุว่าคดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งใน 2 ประเด็นหลัก:
- อำนาจของศาลยุติธรรม: ในอดีตไทยยังไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ จึงเกิดข้อถกเถียงว่าศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายที่ออกโดยสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า ศาลมีอำนาจตรวจสอบกฎหมายที่จะนำมาใช้ตัดสิ้นคดี ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
- การห้ามย้อนหลังเป็นโทษทางอาญา: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม ในส่วนที่กำหนดความผิดย้อนหลังนั้น ใช้บังคับไม่ได้เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้จำเลยทั้งหมดในคดีนั้นถูกปล่อยตัว
2. กรณีศึกษาเรื่องการฟอกเงิน (Money Laundering)
แหล่งข้อมูลได้ยกตัวอย่าง "การฟอกเงิน" เพื่ออธิบายขอบเขตการใช้กฎหมายย้อนหลังในมิติอื่น:
- นิยาม: การฟอกเงินคือการทำให้เงินที่ได้มาโดยมิชอบ (เงินสกปรก) เช่น จากการค้ายาเสพติด กลายเป็นเงินที่ดูเหมือนได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย (เงินสะอาด) เช่น อ้างว่าถูกลอตเตอรี่
- กฎหมายฟอกเงิน พ.ศ. 2542: มุ่งเน้นไปที่ ตัวทรัพย์สิน โดยระบุว่าหากรัฐตรวจพบเงินที่มาจากการฟอกเงิน รัฐสามารถ "ยึดทรัพย์" นั้นมาเป็นของรัฐได้
3. การตีความเรื่อง "ยึดทรัพย์" vs "ริบทรัพย์"
ประเด็นสำคัญที่ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ (คำวินิจฉัยที่ 40-41/2546) คือ กฎหมายฟอกเงินสามารถยึดทรัพย์ที่ได้มาก่อนปี 2542 ได้หรือไม่:
- หลักการ "ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ": ศาลเห็นว่าหลักการนี้ใช้เฉพาะกับ โทษทางอาญา 5 สถาน ได้แก่ ประหารชีวิต, จำคุก, กักขัง, ปรับ และ ริบทรัพย์
- ข้อแตกต่าง: ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การ "ยึดทรัพย์" ตามกฎหมายฟอกเงิน ไม่ใช่โทษทางอาญา (ไม่เหมือนการริบทรัพย์) ดังนั้นจึงไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องการห้ามกฎหมายย้อนหลัง
- บทสรุป: แม้การฟอกเงินจะเกิดขึ้นก่อนกฎหมายใช้บังคับ (มีการเปรียบเปรยว่าย้อนไปได้ถึงสมัยสุโขทัยหรืออยุธยา) หากมีหลักฐานสาวไปถึง รัฐก็สามารถใช้กฎหมายฟอกเงิน ยึดทรัพย์ได้ย้อนหลัง
4. บทสรุปของบทเรียน
บทเรียนนี้ให้หลักการสำคัญว่า:
- โดยปกติกฎหมายไม่ใช้ย้อนหลัง และจะเข้มงวดมากใน กฎหมายอาญาที่มีโทษ
- หากเป็นการย้อนหลังในเรื่องที่ ไม่ใช่โทษทางอาญา (เช่น การยึดทรัพย์ตามกฎหมายฟอกเงิน) สามารถกระทำได้ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
- การที่กฎหมายอาญาไม่ย้อนหลังเป็นโทษ ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคล
สรุปสั้น ๆ: กฎหมายอาญาเปรียบเสมือน "กำแพง" ที่ป้องกันไม่ให้รัฐลงโทษประชาชนย้อนหลังในสิ่งที่ไม่เป็นความผิดในขณะนั้น แต่สำหรับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด กฎหมายเปรียบเสมือน "เครื่องสแกน" ที่สามารถสแกนย้อนกลับไปในอดีตเพื่อดึงทรัพย์สินเหล่านั้นกลับคืนสู่ส่วนรวมได้ เพราะถือว่าการยึดทรัพย์ไม่ใช่การลงโทษตัวบุคคลแต่เป็นการจัดการกับตัวทรัพย์ที่ไม่ชอบมาพากลครับ
--
1. วิธีการยกเลิกกฎหมาย 3 ประการหลัก
แหล่งข้อมูลระบุว่า กฎหมายสามารถสิ้นสุดผลบังคับใช้ได้ 3 ทาง ได้แก่:
- การยกเลิกโดยตรง: ระบุไว้ชัดเจนว่าจะยกเลิกกฎหมายฉบับใด
- การยกเลิกโดยปริยาย: เกิดขึ้นเมื่อกฎหมายใหม่มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับกฎหมายเก่า
- การยกเลิกโดยศาลรัฐธรรมนูญ: เมื่อศาลวินิจฉัยว่ากฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
2. รายละเอียดการยกเลิกโดยตรง (Direct Repeal)
การยกเลิกรูปแบบนี้มีกรณีที่น่าสนใจคือ:
- กฎหมายที่มีวันหมดอายุ (Sunset Laws): เปรียบเสมือน "พระอาทิตย์ตกดิน" หรือยาที่มีวันหมดอายุ คือการกำหนดไว้ในตัวกฎหมายตั้งแต่แรกว่าจะมีผลใช้บังคับกี่ปี (เช่น 5 ปี) หากพ้นกำหนดแล้วฝ่ายนิติบัญญัติไม่ขยายเวลา กฎหมายนั้นจะยกเลิกไปเองโดยอัตโนมัติ
- หมายเหตุ: ในไทยปัจจุบันหาตัวอย่างได้ยาก แต่อาจมีมากขึ้นในอนาคต
- การประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่มาแทนที่: กฎหมายใหม่จะระบุไว้ในมาตราต้น ๆ ว่าให้ยกเลิกกฎหมายฉบับเดิมทั้งฉบับ
- กรณีพระราชกำหนดไม่ได้รับอนุมัติ: หากสภาไม่ยอมรับพระราชกำหนดที่คณะรัฐมนตรีตราขึ้น พระราชกำหนดนั้นจะตกไปหรือถูกยกเลิกโดยตรง
3. การยกเลิกโดยปริยาย (Implied Repeal)
ใช้หลักการเรื่อง "ศักดิ์ของกฎหมาย" โดยมีเกณฑ์ว่า หากกฎหมายที่มีศักดิ์เท่ากันมีเนื้อหาขัดแย้งกัน ให้ใช้กฎหมายที่ประกาศใช้ภายหลัง (กฎหมายใหม่) ซึ่งจะถือว่ากฎหมายเก่าถูกยกเลิกไปโดยปริยายในส่วนที่ขัดแย้งนั้น
4. การยกเลิกโดยศาลรัฐธรรมนูญ (Repeal by Constitutional Court)
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นจะสิ้นผลไปทันที
- ตัวอย่างคดีสำคัญ: ในอดีตกฎหมายบังคับให้ผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามีเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อหลักความเสมอภาคในรัฐธรรมนูญ ทำให้บทบัญญัตินั้นยกเลิกไป และนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายให้ผู้หญิงเลือกใช้นามสกุลเดิมหรือคำนำหน้า "นางสาว" ได้ตามสมัครใจ
5. ประเด็น "กฎหมายไม่ตายเพราะความเก่า"
แหล่งข้อมูลยืนยันว่า กฎหมายจะไม่ถูกยกเลิกเพียงเพราะไม่มีการใช้บังคับเป็นเวลานาน แม้จะผ่านไปหลายสิบปี กฎหมายก็ยังคงมีผลอยู่จนกว่าจะมีกฎหมายใหม่มายกเลิกอย่างชัดเจน (บางครั้งรัฐจะตั้งคณะกรรมการมา "สังคยานา" เพื่อยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยทีละหลายฉบับผ่านพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมาย)
6. การยกเลิกกฎหมายในวิถีประชาธิปไตยแบบไทย (กรณีรัฐประหาร)
เป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า เมื่อมีการรัฐประหารและยกเลิก "รัฐธรรมนูญ" (ซึ่งเป็นกฎหมายแม่) กฎหมายอื่น ๆ จะถูกยกเลิกไปด้วยหรือไม่:
- ตามหลักการ กฎหมายอื่นเป็น "ลูก" ของรัฐธรรมนูญ เมื่อแม่ตาย ลูกควรตายด้วย
- แต่ในทางปฏิบัติของไทย: ประกาศของคณะรัฐประหาร (ซึ่งมีสถานะเสมือนรัฐธรรมนูญชั่วคราว) มักจะระบุไว้ชัดเจนว่า ให้กฎหมายอื่น ๆ และศาลยังคงมีอำนาจบังคับใช้ต่อไปได้ เพื่อไม่ให้ระบบกฎหมายทั้งประเทศล่มสลาย
สรุป: การยกเลิกกฎหมายไม่ได้มีเพียงแค่การเขียนบอกว่า "ยกเลิก" เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยกเลิกตามอายุขัยของมันเอง การถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ที่ขัดแย้งกัน หรือการถูกตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญครับ
--
ขอบเขตการใช้กฎหมายด้านเวลา (ตอนที่ 6) (ซึ่งเนื้อหาในแหล่งข้อมูลปรากฏอยู่ในช่วงที่เริ่มพูดถึงผลย้อนหลังของกฎหมาย) มีรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับหลักการและข้อยกเว้นของการให้กฎหมายมีผลย้อนหลัง ดังนี้ครับ:
1. หลักการพื้นฐาน: กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง
โดยปกติแล้ว กฎหมายจะมีผลใช้บังคับกับกรณีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อห้ามและข้อปฏิบัติล่วงหน้า จะได้ไม่ทำผิดกฎหมาย ดังนั้น จึงมีหลักการสำคัญว่า "กฎหมายจะไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลัง" (Non-Retroactivity of Laws)
2. ข้อยกเว้นทั่วไปที่กฎหมายจะย้อนหลังได้
กฎหมายสามารถมีผลย้อนหลังได้หากเข้าเงื่อนไข 2 ประการ:
- ต้องระบุให้ชัดเจนในตัวกฎหมายนั้นเอง ว่าให้มีผลใช้บังคับย้อนหลัง
- ต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหลักการที่ว่า "ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ"
3. หลักการ "ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ" ในทางอาญา
ในทางกฎหมายอาญา มีหลักการสำคัญ (ภาษาอังกฤษคือ no crime, no punishment without law) ซึ่งระบุว่า,:
- บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่ได้กระทำการที่กฎหมาย ในขณะนั้น บัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้
- จะลงโทษหนักกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในขณะกระทำความผิดไม่ได้
- ห้ามออกกฎหมายอาญาย้อนหลังเพื่อลงโทษบุคคล หรือเพิ่มโทษแก่บุคคลอย่างเด็ดขาด
4. ข้อยกเว้น 5 ประการที่กฎหมายอาญาย้อนหลังได้
แม้จะมีข้อห้ามย้อนหลังเพื่อเป็นโทษ แต่กฎหมายอา๋ญาสามารถย้อนหลังได้หากเข้ากรณีดังต่อไปนี้:
- กฎหมายนั้นเป็นกฎหมายที่ ยกเลิกความผิด
- กฎหมายนั้น เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด (เช่น ลดโทษให้เบาลง),
- กฎหมายนั้นเป็นเรื่อง วิธีการเพื่อความปลอดภัย
- กฎหมายนั้นเป็นเรื่อง การแปลหรือตีความกฎหมายเดิม
- กฎหมายนั้นเป็น กฎหมายวิธีสบัญญัติ หรือกฎหมายวิธีพิจารณาความ
5. บทเรียนจากประวัติศาสตร์: คดีอาชญากรสงคราม (ฎีกาที่ 1/2489)
แหล่งข้อมูลได้ยกตัวอย่างคดีสำคัญที่สะท้อนเรื่องการย้อนหลังของกฎหมายอาญา คือ คดีอาชญากรสงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2:
- ในขณะที่คนไทยร่วมกับญี่ปุ่นรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด,
- ภายหลังจบสงคราม มีการตรา พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม เพื่อเอาผิดย้อนหลังกับบุคคลเหล่านั้นตามคำร้องขอของฝ่ายสัมพันธมิตร,
- ศาลฎีกาตัดสินว่ากฎหมายดังกล่าวในส่วนที่ให้ผลย้อนหลังในทางอาญานั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการออกกฎหมายอาญามาย้อนหลังเพื่อลงโทษบุคคล
สรุป: กฎหมายเปรียบเสมือน "แสงไฟฉาย" ที่ส่องไปข้างหน้าเพื่อบอกทางให้คนเดินตามได้ถูกต้อง เราจะไม่ใช้ไฟฉายส่องย้อนกลับไปเพื่อเอาผิดคนที่เดินผ่านมาแล้วในที่มืด ยกเว้นว่าการส่องย้อนกลับไปนั้นจะเป็นประโยชน์หรือช่วยคลี่คลายความผิดให้เขาได้เท่านั้นครับ,
.png)

.png)


Comments
Post a Comment