[NotebookLM] - ประชาธิปไตย2สี :ใบตองแห้ง : EP 73 I พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ I สังคมป่วย คลั่งสงคราม ทัวร์ลงสันติภาพ

แปะไว้ เพราะไม่นึกว่าการมองที่เป้าอย่างเดียวจะตีว่าเป็นวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงด้วย (เดาว่าเพราะทำให้เกิดความแข่งขันค่อนข้างมาก จนกระทั่งละเลยความเป็นมนุษยธรรม)


Briefing Doc: สังคมป่วย คลั่งสงคราม ทัวร์ลงสันติภาพ (Sick Society: War-Crazed, Peace-Hating)

แหล่งที่มา: บทสัมภาษณ์ อ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ในรายการ "ประชาธิปไตย2สี :ใบตองแห้ง : EP 73"

ผู้ให้ข้อมูล: อ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์, สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้สัมภาษณ์: (ระบุตัวตนไม่ได้ชัดเจนจากข้อมูล แต่ทำหน้าที่ดำเนินรายการ)

วันที่ออกอากาศ/เผยแพร่: (ไม่มีข้อมูลในที่มา)

ภาพรวมหลัก

บทสัมภาษณ์นี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกถึง "อาการเจ็บป่วยของสังคมไทย" ที่แสดงออกผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหันไปคลั่งสงครามและชาตินิยม ในขณะเดียวกันก็ต่อต้านแนวคิดสันติภาพอย่างรุนแรง อ.พัทธ์ธีรา ชี้ให้เห็นถึงรากฐานของปัญหานี้ที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจนิยม ระบบการศึกษาที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ และการขาดทักษะการคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ ทำให้คนไทยจำนวนมากถูกปลุกระดมได้ง่าย และมีตรรกะที่ไม่คงเส้นคงวาในการเลือกข้างความขัดแย้ง บทสัมภาษณ์ยังเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการศึกษาและสื่อในการสร้างพลเมืองโลกที่เข้าใจสังคมและพร้อมสร้างสันติภาพ

ประเด็นหลักและข้อเท็จจริงสำคัญ

  1. อาการเจ็บป่วยของสังคมไทย (Sick Society):
  • สถิติเชิงลบที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง: อ.พัทธ์ธีรา ชวนให้ตั้งคำถามกับสภาพสังคมไทยโดยเปรียบเทียบสถิติที่น่าตกใจ เช่น
        • เรือนจำแออัดที่สุดในโลก: "สถิติคนคุกแน่นสุดอยู่ประเทศไทย"
        • อาชญากรรมสูงมาก
        • อุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับ 1 หรือ 2 มาตลอด
        • คุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในอันดับต่ำ เมื่อเทียบกับ 10 ประเทศในอาเซียน
      • วัดมีมากที่สุดในโลก (ประมาณ 50,000-60,000 แห่ง พระสงฆ์ประมาณ 300,000 รูป) แต่กลับมีปัญหาด้านศีลธรรมและสังคมที่รุนแรง
      • ความขัดแย้งกับหลักพุทธศาสนา: สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ แต่กลับมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับหลักการของพุทธศาสนา เช่น "พุทธศาสนาไม่ได้ส่งเสริมการฆ่านะค่ะ ยุงไม่ตบ แต่เชียร์เพื่อนฆ่ากัน อันนี้มันยังไง" สะท้อนความไม่สอดคล้องระหว่างความเชื่อและการกระทำ
      • ปรากฏการณ์ "สวิง" ของสังคม: สังคมไทยมีแนวโน้มที่จะ "เฮโล" ไปตามกระแสความรุนแรงหรือชาตินิยมอย่างรวดเร็ว และสวิงกลับไปพึ่งพาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณเมื่อเกิดความสิ้นหวัง เช่น การพุ่งไปสู่ชาตินิยมเมื่อเกิดปัญหาชายแดน และการพุ่งกลับไปหาวัดเมื่อรู้สึกสิ้นหวัง
      • กลไกทางสังคมที่บิดเบี้ยว: "กลไกต่าง ๆ ที่มันควรจะเป็นกลไกที่ เอ่อ ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาแล้วก็เป็นหลักยึดให้สังคมไทย มันก็คอนแคนไปหมดแล้วมันไม่มีอะไรเหลือให้ยึด" เช่น กลไกการตรวจสอบของรัฐ (สตง.) ที่เงียบเฉยเมื่อเกิดเหตุการณ์อาคารถล่ม หรือการที่นักการเมืองถูกฟ้องร้องจากการอภิปรายในสภาฯ
  1. รากฐานของวัฒนธรรมความรุนแรงและชาตินิยม:
        • การศึกษาที่ปลูกฝังความเกลียดชังและขาดการคิดวิเคราะห์:ประวัติศาสตร์ "รักชาติ" ที่บิดเบือน: การสอนประวัติศาสตร์ที่ปลูกฝังความเกลียดชังต่อเพื่อนบ้าน เช่น พม่าเผากรุงศรีอยุธยา ทำให้เกิดความทรงจำที่ฝังลึกและสร้าง "เชื้อความเกลียดชัง" ต่อชาวพม่าที่เข้ามาในประเทศ "คือคนพวกนี้ครั้งหนึ่งมันเคยมาเผาเมืองเรานะ มันเคยมาเผา กรุงศรีเรานะ อันนี้คือความทรงจำที่มันแฝงไปด้วยความเกลียดชัง มาจากไหน มาจากระบบการศึกษาไทย แก้ยังเปลี่ยนยัง อันนี้ก็ต้องกลับมานั่งดูนะ"
      • ขาด Critical Thinking: ระบบการศึกษาไทยไม่สอนให้คิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถาม ทำให้ถูกปลุกระดมได้ง่ายและเชื่อข้อมูลด้านเดียว
      • อิทธิพลของสื่อและโซเชียลมีเดีย: ในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ แต่ขาดการคัดกรองข้อมูล ทำให้เกิดการเผยแพร่ความเกลียดชังและทฤษฎีสมคบคิดอย่างรวดเร็ว "ทุกคนเป็นสื่อได้ แต่ว่า conspiracy ก็เป็นสื่อได้ ก็ใช่ไง แล้วสุดท้ายเราก็เลยกลายเป็นสปอยเลอร์ของสงคราม เราก็กลายเป็นคนปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง เผยแพร่ความเกลียดชังด้วย"
      • วัฒนธรรมอำนาจนิยมและการเชื่อฟัง: สังคมไทยปลูกฝังให้เชื่อฟัง ไม่ตั้งคำถาม และนิยมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตั้งแต่การเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวไปจนถึงระบบโรงเรียน "พ่อแม่ชอบมากแค่ไหนกับการให้เด็กตั้งคำถาม...โรงเรียนเนี่ย โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมเนี่ย ถามมากๆ มีสิทธิ์โดนกาหัวนะ"
      • ความปรารถนาที่จะ "ยืนข้างผู้ชนะ": คนไทยมีแนวโน้มที่จะเชียร์ผู้ชนะและเปลี่ยนข้างได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่การเชียร์มวยรองอย่างที่บางคนเข้าใจ "เราดูเหมือนจะเห็นอกเห็นใจคนแพ้นะ แต่เอาให้จริง ๆ แล้วไม่ใช่ สังคมไทยเป็นสังคมที่ต้องการที่จะยืนอยู่ข้างชัยชนะ"
      • ตรรกะที่ไม่คงเส้นคงวา: ตัวอย่างการเชียร์รัสเซียเพราะเกลียดอเมริกา แต่ในขณะเดียวกันก็เชียร์อิสราเอลเพราะเกลียดอิสลาม สะท้อนการใช้ตรรกะที่บิดเบี้ยวและมีรากฐานจากความกลัวและความเกลียดชัง
  1. ผลกระทบของวัฒนธรรมความรุนแรง:
    • การทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: สังคมไทยไม่ให้คุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใด ทำให้ง่ายต่อการสนับสนุนการกระทำที่รุนแรงและขาดมนุษยธรรม เช่น การเชียร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    • ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา: อ.พัทธ์ธีรามองว่าสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนนี้เป็นอาการหนึ่งของสังคมที่เจ็บป่วย โดยเฉพาะการปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อรวมชาติและสร้างศัตรูภายนอก ซึ่งคล้ายคลึงกับกลไกทางการเมืองในกรณีอื่นๆ เช่น อิสราเอล-ปาเลสไตน์ หรือแม้แต่ปัญหาชายแดนใต้ของไทยเอง
    • ความรุนแรงในยุคดิจิทัล: โลกออนไลน์ทำให้ความรุนแรงและความไม่่อดทนเพิ่มขึ้น ผู้คนต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเด็ดขาด สะท้อนวัฒนธรรม "Short-cut" ที่เน้นเป้าหมายมากกว่าวิธีการ "มันคือวัฒนธรรมของความรุนแรงค่ะ เพราะว่าถ้าคืออันนี้ต้องมองเป็นเชิงโครงสร้างเลยเนอะ เชิง เอ่อ เค้าเรียกว่าอะไรต้องมองให้มันเป็นเชิงองค์รวมอ่ะค่ะ คือเราอยู่ในยุคที่เร่งทุกอย่าง การเร่งทุกอย่าง หมายความว่า ก็ต้องเร่งให้ได้ชัยชนะ เร่งประสบความสำเร็จ ซึ่งวัฒนธรรมพวกนี้แปลว่าวัฒนธรรมความรุนแรงหมดนะ"
    • ความสิ้นหวังและการขาดหลักยึด: การเมืองที่ไม่มั่นคง การขาดสถาบันที่เป็นหลักยึดที่ตรงไปตรงมา และการที่สังคมเน้นความสำเร็จทางวัตถุ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งรู้สึกเคว้งคว้างและสิ้นหวัง นำไปสู่ปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการเติบโตของ "วัดสายทำบุญแบบมีแพ็กเกจ"
  1. ทางออกและบทบาทของสถาบันต่างๆ:
    • การศึกษาเพื่อสันติภาพ: มหาวิทยาลัยมหิดลมีบทบาทสำคัญในการสอนวิชา "สังคม สงคราม และสันติ" ที่สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ซึ่งเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยและเป็นหลักสูตรแรกของเอเชียสำหรับปริญญาโทสาขาสิทธิมนุษยชน (ภาคภาษาอังกฤษ) วิชาเหล่านี้มีนักศึกษาให้ความสนใจจำนวนมาก แม้จะเป็นนักศึกษาสายสุขภาพ ซึ่งสะท้อนความต้องการคำตอบเกี่ยวกับสันติภาพ
    • เรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน: ต้องสอนประวัติศาสตร์ที่ยอมรับความจริงอันเจ็บปวด เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดซ้ำ ไม่ใช่สอนเพียงประวัติศาสตร์ของผู้ชนะเท่านั้น "เราต้องเรียนรู้ความจริงที่เจ็บปวดแบบนี้ เพื่อให้เราเฝ้าระวังและอย่าให้มันเกิดอีกไง"
    • สร้างพลเมืองโลก: การศึกษาควรสร้างคนที่ไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกชนิด และพร้อมสร้างสันติภาพในสังคม "คุณจะอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณรู้สิ่งเหล่านี้คุณก็อาจจะไหว รู้เท่าทันแล้วไม่ตกไปอยู่ในวงจร หรือเป็นไปสนับสนุนเรื่องการใช้ความรุนแรงทุกชนิด"
    • การทูตและคนกลาง: ในความขัดแย้งชายแดน ควรมีการเจรจาด้วยกระบวนการทางการทูต โดยมีคนกลางหรือกลไกของอาเซียนเข้ามาช่วยเป็นพยาน เพื่อสร้างความไว้วางใจและหาทางออกที่ยุติธรรม
    • แนวคิด Peace Park: การเปลี่ยนพื้นที่ความขัดแย้งให้เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพและการใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดีอยู่แล้ว (เช่น ปราสาทพระวิหาร) สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอารยธรรมและการศึกษาเรื่องสันติภาพ
    • ความรับผิดชอบของสื่อ: สื่อมีบทบาทสำคัญในการดึงสติสังคม และสื่อสารด้วยความรู้จริง เพื่อต่อต้านกระแสความรุนแรงและชาตินิยม
  1. คำเตือนถึงความรุนแรงภายในประเทศ:
    • สัญญาณ "คลั่งชาติ" ที่อันตราย: อ.พัทธ์ธีรา เตือนว่าการคลั่งชาติที่เกินคำว่ารักชาติ สามารถนำไปสู่การเข่นฆ่ากันเองในหมู่คนไทยได้ "เรากำลังเห็นสัญญาณชัดของชาตินิยมที่มันเกินคำว่ารักชาติอ่ะ แต่มันกลายไปเป็นคลั่งชาติ...คลั่งชาติชนิดที่ว่ามันพร้อมจะพาให้ เอ่อ คนไทยด้วยกันน่ะ ลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันได้แล้วด้วยนะ มันจะคล้ายๆ กับรวันดาค่ะ"
    • การทัวร์ลงผู้สนับสนุนสันติภาพ: ผู้ที่ออกมาเรียกร้องสันติวิธีถูกโจมตีอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็น "ดัชนีชี้วัดความเจ็บป่วยและการนิยมความรุนแรงของสังคมไทย"

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะโดยสรุป

บทสัมภาษณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของสังคมไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตทางความคิดและจิตใจอย่างลึกซึ้ง โดยมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมที่ปลูกฝังการเชื่อฟัง การขาดการคิดวิเคราะห์ และการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ทำให้ถูกปลุกระดมได้ง่ายและมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนความรุนแรง


คำแนะนำหลักคือ:

    • การปฏิรูปการศึกษา: ต้องมุ่งเน้นการสอนประวัติศาสตร์ที่ครบถ้วนและจริง รวมถึงการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์และการตั้งคำถาม
    • บทบาทที่สร้างสรรค์ของสื่อ: สื่อต้องรับผิดชอบในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง รอบด้าน และส่งเสริมแนวคิดสันติภาพ
    • การส่งเสริมสถาบันหลักยึดที่เข้มแข็ง: ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในกลไกทางสังคมและสถาบันต่างๆ ให้ทำหน้าที่อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
    • การสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิด: ส่งเสริมการให้คุณค่ากับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใด และปลูกฝังความอดทนอดกลั้น ความเข้าใจความหลากหลาย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของความเกลียดชังและวัฒนธรรมความรุนแรง

หากสังคมไทยไม่สามารถ "หยุดตัวเอง" และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้ อ.พัทธ์ธีราเตือนว่าความรุนแรงมีโอกาสสูงที่จะขยายวงและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่บทเรียนที่เจ็บปวดเช่นเดียวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลกอื่นๆ.

---

นึกถึงประเด็นที่ อ.สมชายพูดถึงเลย เรืองอำนาจนิยมในระดับมหาวิทยาลัย ลิงค์สามารถดูได้จากข้างล่าง

https://t-lerksuthirat.blogspot.com/2025/06/blog-post.html

https://t-lerksuthirat.blogspot.com/2025/06/notebooklm.html


และนึกถึงประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลในระบบของมหาวิทยาลัยในโพสต์เก่า

https://t-lerksuthirat.blogspot.com/2025/05/failed-university.html


Comments

Most viewed blogs

Useful links (updated: 2025-09-06)

Genome editing technology short note

Umbrella vs Basket Trial