[NotebookLM] คู่มือทบทวนความเข้าใจ: อุดมศึกษาไทยในเกลียวคลื่นเสรีนิยมใหม่
Original Video
Podcast generated from the NotebookLM
This source originates from a YouTube video transcript of an academic seminar titled, “#IfSocietyIsGood | Academic Seminar | Thai Higher Education in the Whirlwind of Neoliberalism,” uploaded by the "TU soc-anth" channel. The seminar convenes academics and political figures to discuss the challenges facing Thai higher education. Key issues explored include university governance, academic freedom, research funding, the quality of graduates, and the employment conditions of faculty. The discussion highlights the impact of neoliberal policies and government influence on universities, noting the struggle for autonomy and accountability. Various speakers offer diagnoses of these systemic problems and propose solutions, emphasizing the need for greater transparency, fair labor practices, and strategic reforms to enhance the overall quality and relevance of Thai higher education.
เอกสารสรุปประเด็น (Briefing Document)
หัวข้อ: อุดมศึกษาไทยในเกลียวคลื่นเสรีนิยมใหม่
วัตถุประสงค์: เพื่อทบทวนประเด็นหลักและข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับการอุดมศึกษาไทยในบริบทของเสรีนิยมใหม่ โดยรวบรวมข้อคิดเห็นจากวิทยากรและผู้เข้าร่วมเสวนา
1. ภาพรวมปัญหาและบริบทของอุดมศึกษาไทย
มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญกับคำถามมากมายจากทุกฝ่ายการเมืองเกี่ยวกับปัญหาที่สะสมมานาน รวมถึงทิศทางในอนาคต คุณภาพการศึกษา และเสรีภาพทางวิชาการ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้มาจากปัจจัยภายในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริบททางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลก
- บริบทเศรษฐกิจและการเมือง:ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่มีช่วงที่สะดุดจากวิกฤตเศรษฐกิจและการรัฐประหารหลายครั้ง (ปี 1991, 2006, 2014) ซึ่งทำให้ช่องว่าง GDP per capita ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียและเกาหลีใต้ ห่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนามกำลังก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น (อาจารย์บัณฑิต: "การอุดมศึกษาไทย ไม่ทันทะยานก็ติดหล่มใต้ฝ่าเท้าตัวเอง")
- มหาวิทยาลัยในฐานะผู้ผลิตบุคลากรและขับเคลื่อนทางปัญญา ถูกตั้งคำถามถึงบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศ
- ปัญหาคุณภาพวัตถุดิบ: ความสามารถในการอ่านของเด็กไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย OECD และหลายประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเผชิญกับ "วัตถุดิบ" ที่อ่อนแอในการสร้างสถาบันการศึกษาชั้นยอด (อาจารย์บัณฑิต: "OECD เค้าก็บอกนะ ตัวเลขเนี่ยมันคือระดับการความสามารถในการอ่านของไทยเนี่ย เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเนี่ย เราค่อนข้างค่อนข้างต่ำ")
2. ปัญหาเฉพาะหน้าของการอุดมศึกษาไทย (ฝ่าเท้าติดโคลน)
อาจารย์บัณฑิต สรุป 4 ปัญหาหลักของอุดมศึกษาไทย:
- 2.1 มายาคติเรื่องการเรียนการสอนและการเคลื่อนย้ายข้ามสถาบัน:
- การเคลื่อนย้ายของนักวิชาการข้ามมหาวิทยาลัยเป็นไปได้ยากและมีอุปสรรค โดยไม่นับระยะเวลาการทำงานและส่งผลให้เงินเดือนลดลงอย่างมากเมื่อย้ายสถาบัน
- ภาระงานของอาจารย์ที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การซื้อตีพิมพ์และการหลีกเลี่ยงจริยธรรม
- เกณฑ์การทำงานและการประเมินของแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกัน
- 2.2 ความหมกมุ่นในการตีพิมพ์วารสารนานาชาติ (และ Predatory Journals):
- ความพยายามเร่งรัดตำแหน่งทางวิชาการนำไปสู่การให้ความสำคัญกับการตีพิมพ์นานาชาติมากเกินไป ทำให้เกิด "สอ.รับใช้สังคม" หรือ "สอ.ปฏิบัติ" ซึ่งตั้งคำถามถึงบทบาทที่แท้จริงของศาสตราจารย์
- มีการใช้ "Predatory Journals" (วารสารล่าเหยื่อ) ที่เป็นความสมยอมทั้งสองฝ่าย และมีการแสวงหาผลประโยชน์จากการตีพิมพ์เพื่อเพิ่มเงินเดือนและตำแหน่งทางวิชาการ
- มหาวิทยาลัยอ้างการตีพิมพ์นานาชาติเพื่อจัดอันดับ (Ranking) แต่แท้จริงแล้ว Visibility (การเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ) และความร่วมมือกับสถาบันอื่นต่างหากที่มีผลต่อ Ranking มากกว่า
- มีการชี้ให้เห็นถึง "H-index" ที่ไม่สัมพันธ์กับหัวข้อวิชาการ และการที่ผู้บริหารบางคนขอให้มีการ "อ้างอิง" บทความของตนโดยไม่เกี่ยวกับเนื้อหาทางวิชาการ
- มีการผลักภาระการตีพิมพ์ร่วมไปยังนักศึกษาปริญญาโท-เอก โดยเฉพาะในสายสังคมศาสตร์ที่ทำได้ยากกว่าสายวิทยาศาสตร์
- คำถามสำคัญ: การตีพิมพ์ภาษาอังกฤษเพื่อ visibility เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยมากน้อยแค่ไหน และค่าตอบแทนที่มหาวิทยาลัยจ่ายไปนั้นคุ้มค่าหรือไม่
- 2.3 อัตตานิคมทางปัญญา (Self-Colonialism of Knowledge):
- งานวิชาการที่ทำเรื่องไทยมักไม่สัมพันธ์กับโลกสากล ทำให้ Citation ต่ำ และนักวิชาการบางคนไม่สนทนากับโลกภายนอก
- 2.4 ความเคร่งครัดด้านจริยธรรมทางวิชาการแบบไทย (IRB):
- กระบวนการขอใบรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (IRB) ที่มีถึง 7 ฟอร์ม สร้างภาระงานอย่างมาก และมักถูกตรวจสอบในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในมนุษย์โดยตรง โดยเฉพาะในสายสังคมศาสตร์ที่เน้นการสนทนากับหนังสือเป็นหลัก
- มีประเด็นเรื่อง "สอ.ทางด่วน" ที่ใช้เวลาเพียง 1-2 ปีในการได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ ซึ่งทำลายขวัญและกำลังใจของนักวิชาการที่ทำงานมานาน
- มหาวิทยาลัยมักใช้บุคลากรเมื่อมีปัญหาแต่ไม่ปกป้อง และมีการใช้เงินสาธารณะเพื่อผลิตศาสตราจารย์ที่ไปเกษียณในมหาวิทยาลัยเอกชน
3. แรงงานวิชาการในโรงงานวิชาการ
- สภาพแรงงานและวัฒนธรรมองค์กร:
- อาจารย์ถูกเปลี่ยนสภาพการจ้างงานจากข้าราชการเป็น "พนักงานมหาวิทยาลัย" ไม่มีสวัสดิการข้าราชการ และบางมหาวิทยาลัยจ่ายเงินเดือนไม่ครบตามที่ระบุ (1.5-1.7 เท่า)
- วัฒนธรรมประชาธิปไตยในที่ทำงานถูกทำลายโดยการเมืองแบบไทย (การรัฐประหาร) ผสมผสานกับนโยบายเสรีนิยมใหม่และระบบราชการ
- มหาวิทยาลัยสุรนารีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการวางนโยบายเสรีนิยมใหม่ โดยมีตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมและหอการค้าเป็นกรรมการสภาโดยตำแหน่ง สะท้อนแนวคิดที่ต้องการผลักดันให้มหาวิทยาลัยเป็นฐานสำคัญของทุนนิยม
- ความไร้ธรรมาภิบาลของมหาวิทยาลัย:
- มหาวิทยาลัยไม่ได้ยึดโยงกับประชาคมหรือสังคมไทย แต่ยึดโยงกับผู้มีอำนาจ กลไกบริหารมักเป็นแบบ "สภาเกาหลัง" เลือกกันเอง ไม่ยึดโยงกับนักศึกษาหรืออาจารย์
- มีเพียง ม.รามคำแหงที่เลือกตั้งอธิการบดีโดยตรง แต่ถูกใช้เป็นข้อโต้แย้งว่าทำให้เกิดปัญหาการเมืองภายใน
- การที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบหรือเป็นมหาวิทยาลัยกำกับของรัฐ มักเกิดขึ้นในช่วงรัฐประหาร (2549, 2557) โดยผู้บริหารได้รับผลประโยชน์ทางการเมือง
- พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมักมีข้อยกเว้นที่ป้องกันการจัดตั้งสหภาพแรงงาน โดยตีความว่ามหาวิทยาลัยยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ ทำให้ไม่มีพื้นที่ต่อรองอำนาจสำหรับพนักงานหรือครูอาจารย์
- การกำกับของรัฐผ่านกระทรวง อว.:
- กระทรวง อว. ก่อตั้งขึ้นในช่วงรัฐประหาร และมีบทบาทกำกับมหาวิทยาลัยผ่านระบบประกันคุณภาพ (TQF, AQA) ที่กลายเป็น "อุตสาหกรรมการประเมิน" แต่ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาการศึกษา
- ปัญหาประชากรลดลงส่งผลกระทบต่อมหาวิทยาลัยขนาดกลางและเล็ก ในขณะที่ปัญหาการศึกษาพื้นฐานยังคงรุนแรง (เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้) ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาบุคลากร
4. แผนงานวิจัยและปัญหาในการจัดสรรทุน (ววน.)
- สถานะทุนวิจัย:
- งบประมาณทุนวิจัยรวมของประเทศอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี (0.1% ของ GDP) ซึ่งน้อยกว่าหลายประเทศในอาเซียน
- ทุนสำหรับสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ (SH) ประมาณ 6,000 ล้านบาท แต่ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "ความโดดเด่นทางวิชาการ" หรือศิลปะที่ได้รับรางวัลระดับโลก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทุนส่วนตัวหรือทุนจากต่างประเทศ
- ผู้บริหารบางคนในกระทรวง อว. ตระหนักว่าเงินทุน 20,000 ล้านบาทนี้เหมือน "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" เนื่องจากขาดโจทย์วิจัยที่แท้จริงและมีการนำงบไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าสังคม (ดร.ธีราภา ไพโรหกุล: "ท้ายที่สุดมันเป็น training for the sake of training อ่ะค่ะ คือมันคือมันมันเหมือนกับว่าเราแค่ แค่ เทรน เพื่อ ที่ จะ เอา งบ ประมาณ มา ใช้ อ่ะ แต่ มัน ไม่ เคย มี การ กำหนด เลย ว่า เฮ้ย objective เรา คือ ต้องการ อะไร ประชา ชน ได้ อะไร จริง ๆ")
- ข้อจำกัดของยุทธศาสตร์ ววน.:
- ยุทธศาสตร์เน้นการประยุกต์และตอบสนองนโยบายของรัฐเป็นหลัก ไม่ได้เน้นการวิจัยพื้นฐาน ปรัชญา หรือทฤษฎีมากพอ
- แผนวิจัยไม่ได้เริ่มจากการทำความเข้าใจสังคมอย่างลึกซึ้ง แต่กระโจนเข้าสู่การแก้ปัญหาเลย โดยไม่มีโจทย์วิจัยเกี่ยวกับประเด็นพื้นฐานทางสังคม เช่น ครอบครัว สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย หรือเสรีภาพ
- แผนกำลังคนเน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยที่ไม่มีแผนพัฒนาบุคลากรด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์อย่างชัดเจน
5. แนวทางและข้อเสนอแนะ
- 5.1 การคืนเวลาและปรับระบบงานให้อาจารย์:
- คืนเวลาให้อาจารย์ได้ทำงานวิจัย วิชาการ และสร้างสรรค์ ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น
- จัดระบบการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการที่ถูกต้องตามสากล โดยอาจารย์ต้องมีบทบาทในการสอนและวิจัย ไม่ใช่บุคลากรเกษียณอายุที่ไม่เคยเข้าสู่ระบบ
- วางระบบแผนวิจัยที่เป็นอิสระจากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และใช้ระบบ Block Grant แทนการเก็บใบเสร็จยิบย่อย
- จัดระบบราชการให้ Seamless และเป็น Digital
- 5.2 การเสริมสร้างสภาพแรงงานและธรรมาภิบาล:
- การจัดตั้งสหภาพแรงงานการศึกษา: เป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มอำนาจต่อรองของครูอาจารย์และพนักงานมหาวิทยาลัย ทั้งภายในและข้ามมหาวิทยาลัย (อาจารย์พิชญภัณฑ์ พัชรนราลาวัลย์: "สหภาพแรงงานสำหรับผมแล้วมันจะช่วยกันเพิ่มอำนาจต่อรองข้ามองค์กรและข้ามมหาวิทยาลัย")
- การทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลภายในมหาวิทยาลัยให้โปร่งใสและสร้างช่องทางให้บุคลากรสะท้อนปัญหา
- ภาครัฐในฐานะ Facilitator ควรรับฟังเสียงสะท้อนจาก Stakeholders โดยเฉพาะนักวิชาการ และนำมาออกแบบนโยบายอย่างจริงจัง
- 5.3 การปฏิรูปการจัดสรรทุนวิจัยและการกำหนดยุทธศาสตร์:
- แก้ไขพรบ. ที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งสหภาพแรงงานและควบคุมอำนาจบริหารตามอำเภอใจของผู้บริหารมหาวิทยาลัย
- เปิดกว้าง "ตลาดนโยบาย" และกระบวนการกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์วิจัยของชาติให้คนภายนอก โดยเฉพาะนักวิชาการ เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
- สร้างความตระหนักรู้ถึงศักยภาพของสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ และเพิ่มการวิจัยในประเด็นที่เหมาะสมกับสังคมมากขึ้น
- พิจารณาสร้างหน่วยงานให้ทุนที่เน้นด้าน SH โดยตรง เพื่อสะท้อนความเชี่ยวชาญของความรู้ด้านนี้ และส่งเสริมการวิจัยร่วมกับนักวิจัยท้องถิ่น
- งบประมาณและการตรวจสอบ: สนใจงบประมาณของกระทรวง อว. มากขึ้น และตรวจสอบ KPI ของกระทรวงว่ามีการตั้งเป้าที่ทะเยอทะยานและสอดคล้องกับการใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
- การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ: ต้องการ 3 องค์ประกอบพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจการเมืองแบบเปิด, แรงสนับสนุนจากรัฐราชการ, และการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ไม่นานจนเกินไป
- พิจารณาการยุบมหาวิทยาลัยที่ไม่ฟังก์ชัน หรือมหาวิทยาลัยที่มีวิทยาเขตมากเกินไป เพื่อปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่ลดลง และแก้ไขปัญหาการสร้างหลักสูตรนานาชาติคุณภาพต่ำ
- 5.4 การแยกตำแหน่งทางวิชาการกับการเมือง:
- เสนอให้ตัดเงื่อนไขทางการเมืองออกจากตำแหน่งทางวิชาการ เพื่อให้โลกวิชาการเคลื่อนตัวด้วยวิถีทางวิชาการและกระแสความรู้สากล
- ส่งเสริม Networking ทางวิชาการผ่าน Workshop และความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเพียงการเดินทางของผู้บริหาร
6. ข้อสังเกตและข้อเสนอเพิ่มเติม:
- ปัญหา World Ranking ที่กลายเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าควรใช้ Ranking เป็นเพียง Benchmark หรือ Indicator ไม่ใช่เป็น Goal หลัก
- การที่มหาวิทยาลัยอ้างว่า "ออกนอกระบบราชการ" แต่ยังห้ามตั้งสหภาพแรงงานและอำนาจการอนุมัติหลักสูตรยังคงอยู่ในมือของกระทรวง แสดงถึงความ "ก้ำกึ่ง" ที่เป็นปัญหา
- การที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมักให้ข้อมูลที่เป็นบวกต่อการประเมิน ทำให้ยากที่จะทราบปัญหาที่แท้จริง จึงควรรับฟังข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงาน (อาจารย์ที่ไม่มีตำแหน่งบริหาร)
- ควรมีการถกเถียงเรื่องการศึกษาในระดับการเมืองให้กว้างขวางขึ้น ไม่ใช่แค่ในวงนักวิชาการหรือผู้บริหาร
จากแหล่งข้อมูลที่ให้มา สามารถสรุปไทม์ไลน์และรายชื่อตัวละครได้ดังนี้:
ไทม์ไลน์เหตุการณ์หลัก
- ทศวรรษ 1980s (ประมาณ 2520s): ประเทศไทยมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NICs) เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านในเอเชีย
- ปี 1991 (2534): เกิดรัฐประหารครั้งแรกในช่วงที่ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเป็น NICs
- ปี 1997 (2540): เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้ง) ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
- ช่วงปี 2000 (ประมาณ 2543): มีการพูดถึงการเคลื่อนย้ายของอาจารย์ข้ามมหาวิทยาลัยได้ แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีอุปสรรคมากมาย
- ปี 2006 (2549): เกิดรัฐประหารครั้งที่สอง
- ปี 2010 (2553): เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง
- ปี 2014 (2557): เกิดรัฐประหาร (22 พฤษภาคม 2557) ครบรอบ 11 ปีเมื่อวานนี้ (อ้างอิงจากวันที่จัดงานเสวนา)
- หลังรัฐประหาร 2549 และ 2557: มหาวิทยาลัยจำนวนมากเริ่ม "ออกนอกระบบ" หรือเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยผู้บริหารได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิก สนช. หรือมีตำแหน่งทางการเมือง
- ปี 2010s (ประมาณ 2553) เป็นต้นมา: มหาวิทยาลัยบางแห่งเริ่มประสบปัญหาการจ่ายเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยไม่เต็มอัตรา (1.5-1.7 เท่าของข้าราชการ)
- ปี 2012 (2555): สถาบันเทคโนโลยีสุรนารี ถูกตั้งขึ้นและมีโครงสร้างนโยบายที่สะท้อนแนวคิดเสรีนิยมใหม่อย่างชัดเจน โดยมีตัวแทนจากภาคธุรกิจเข้าร่วมในสภามหาวิทยาลัย
- ปี 2018 (2561): กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถูกจัดตั้งขึ้นในช่วงรัฐประหาร
- ปี 2566 – 2570: แผนงานวิจัยแห่งชาติ (ววน.) กำหนดใช้ยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการประยุกต์และการตอบสนองนโยบายรัฐเป็นหลัก โดยยังขาดการวิจัยพื้นฐานและประเด็นสำคัญทางสังคม
- ปัจจุบัน (วันที่จัดเสวนา):
- มหาวิทยาลัยไทยเผชิญคำถามมากมายจากทุกขั้วการเมืองถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
- อัตราส่วนนักศึกษาที่จบสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สูงถึง 70% ในขณะที่ตลาดแรงงานต้องการสาย STEM มากขึ้น
- กระทรวง อว. ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น แต่เป้าหมาย KPI ด้านความสามารถในการแข่งขันของประเทศยังคงเดิม
- ปัญหาการบังคับตีพิมพ์ใน Scopus กลายเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งอาจารย์ในบางมหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยหลายแห่งในกำกับของรัฐยังคงไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ
- อธิการบดีรามคำแหงเป็นเพียงคนเดียวที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งถูกใช้เป็นข้อโต้แย้งในปัญหาการเมืองภายในมหาวิทยาลัย
- มีการพูดถึงแนวโน้มที่มหาวิทยาลัยเอกชนถูกต่างชาติซื้อกิจการ และความเชื่อมโยงของตำแหน่งศาสตราจารย์กับองค์กรอิสระทางการเมือง
- มีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว รวมถึงการจัดตั้งสหภาพแรงงานการศึกษา การปรับปรุงระบบงบประมาณ การเปิดโอกาสให้นักวิชาการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และการปรับโครงสร้างมหาวิทยาลัยในอนาคต
คู่มือทบทวนความเข้าใจ: อุดมศึกษาไทยในเกลียวคลื่นเสรีนิยมใหม่
ภาพรวมของเนื้อหา
งานเสวนาวิชาการเรื่อง "อุดมศึกษาไทยในเกลียวคลื่นเสรีนิยมใหม่" ได้นำเสนอประเด็นปัญหาและความท้าทายที่มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ภายใต้บริบทของกระแสเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมโลก ผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วยนักวิชาการจากหลากหลายสถาบัน รวมถึงผู้ที่เคยมีบทบาทในแวดวงวิชาการและปัจจุบันผันตัวไปทำงานด้านการเมือง โดยได้วิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อนและเสนอแนวทางแก้ไขในหลากหลายมิติ ได้แก่ ปัญหาภายในมหาวิทยาลัย, สถานภาพแรงงานวิชาการ, ธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัย, ทิศทางและงบประมาณการวิจัย, และภาพรวมของการปฏิรูปการศึกษาไทย
คำถามทบทวนความเข้าใจ (Short-Answer Questions)
ตอบคำถามแต่ละข้อด้วยประโยค 2-3 ประโยค
- ประเด็นหลักของงานเสวนา "อุดมศึกษาไทยในเกลียวคลื่นเสรีนิยมใหม่" คืออะไร? งานเสวนาเน้นการตั้งคำถามและวิเคราะห์ปัญหาที่มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญภายใต้กระแสเสรีนิยมใหม่ ทั้งในด้านทิศทาง, คุณภาพการศึกษา, เสรีภาพทางวิชาการ, ภาระงานของอาจารย์, และนโยบายการวิจัย โดยมีเป้าหมายเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนเหล่านี้
- อาจารย์บัณฑิต อธิบายสภาพปัญหาของอุดมศึกษาไทยด้วยวลีใด และมีความหมายอย่างไร? อาจารย์บัณฑิตกล่าวว่าอุดมศึกษาไทย "ไม่ทันทะเยอทะยาน ก็ติดหล่มใต้ฝ่าเท้าตัวเอง" และ "ฝ่าเท้าติดโคลน" ซึ่งหมายถึงการที่มหาวิทยาลัยไทยมีปัญหาในการปรับตัวให้ทันบริบทโลก และติดอยู่กับปัญหาภายในที่ทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าได้เต็มที่
- ความหมกมุ่นในเรื่องการตีพิมพ์วารสารนานาชาติก่อให้เกิดปัญหาใดบ้างในระบบอุดมศึกษาไทย? ความหมกมุ่นนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Predatory Journal (วารสารล่าเหยื่อ) ที่อาจารย์บางส่วนต้องจ่ายเงินเพื่อตีพิมพ์งานวิชาการ ส่งผลให้เกิด "ศาสตราจารย์ทางด่วน" ที่ไม่ได้มาจากการสร้างองค์ความรู้ที่มีคุณภาพจริง และยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณของรัฐโดยไม่ก่อประโยชน์ต่อสังคมไทยเท่าที่ควร
- แนวคิดเรื่อง "สหภาพแรงงานการศึกษา" ถูกนำเสนอขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาใด? แนวคิดนี้ถูกนำเสนอเพื่อเป็นกลไกในการเพิ่มอำนาจต่อรองของแรงงานการศึกษา (ครู, อาจารย์) ให้มีพื้นที่ในการเรียกร้องและต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ในระบบ เช่น สภาพการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม, ภาระงานที่มากเกินไป, และการไร้ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร ซึ่งปัจจุบันยังขาดองค์กรกลางที่เข้มแข็งมารองรับ
- เหตุใดงบประมาณการวิจัยของประเทศ (ววน.) กว่า 20,000 ล้านบาท จึงถูกมองว่า "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"? เนื่องจากแผนการวิจัยเน้นการประยุกต์และตอบสนองนโยบายของรัฐเป็นหลัก ไม่ได้เน้นการวิจัยพื้นฐานหรือวิพากษ์สังคม ทำให้โจทย์วิจัยไม่ครอบคลุมปัญหาสำคัญของประเทศ และงานวิจัยที่ได้ไม่นำไปสู่ความโดดเด่นทางวิชาการ หรือการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
- ข้อจำกัดสำคัญของแผนวิจัยแห่งชาติ (ววน.) ในมิติสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์คืออะไร? แผนวิจัยไม่ได้เริ่มต้นจากการวิจัยพื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจสังคมอย่างลึกซึ้ง และมักไม่รวมประเด็นสำคัญ เช่น ครอบครัว, สิทธิมนุษยชน, ประชาธิปไตย, หรือเสรีภาพ อีกทั้งยังขาดแผนพัฒนา "กำลังคน" ด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์อย่างชัดเจน
- อาจารย์ธีราภา ไพโรหกุล (อดีตอาจารย์และปัจจุบันเป็นรองเลขาธิการนายกฯ) มองบทบาทของรัฐบาลต่อปัญหาอุดมศึกษาอย่างไร? อาจารย์ธีราภามองว่ารัฐบาลควรเป็น "facilitator" หรือผู้สนับสนุนและสร้างแพลตฟอร์มในการรับฟังเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วน เพื่อนำไปปรับปรุงนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะการรับประกันเสรีภาพทางวิชาการและส่งเสริมการบริหารงานที่โปร่งใสและยึด merit-base
- KPI หลักของกระทรวง อว. คืออะไร และมีข้อสังเกตใดที่น่ากังวลเกี่ยวกับ KPI นี้? KPI หลักคือ "เศรษฐกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขัน" โดยวัดจากดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ข้อน่ากังวลคือ แม้งบประมาณจะเพิ่มขึ้น แต่เป้าหมายของ KPI กลับไม่เพิ่มตาม ทำให้ตั้งคำถามถึงความทะเยอทะยานและประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ
- ปัญหาเรื่อง "บ้านใหญ่" ในมหาวิทยาลัยหมายถึงอะไร และส่งผลกระทบอย่างไร? "บ้านใหญ่" หมายถึงการบริหารงานตามอำเภอใจของผู้บริหารที่ขาดธรรมาภิบาล และมีการจัดสรรผลประโยชน์โดยไม่ยึดหลัก merit-base ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจ้างงาน ค่าตอบแทน และการประเมินผลงานภายในมหาวิทยาลัย ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและคุณภาพของบุคลากร
- ข้อเสนอแนะหลักของอาจารย์วิรยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ในการปฏิรูปการศึกษาไทยทั้งระบบคืออะไร? อาจารย์วิรยุทธเสนอว่าการปฏิรูปการศึกษาไทยจะสำเร็จได้ต้องมี 3 องค์ประกอบพร้อมกันคือ เศรษฐกิจการเมืองแบบเปิด, แรงสนับสนุนจากรัฐราชการ, และการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดกรอบเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
คำถามเชิงวิเคราะห์ (Essay Format Questions)
- วิเคราะห์ผลกระทบของกระแสเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) ต่อโครงสร้างการบริหารงาน, สภาพการจ้างงานของบุคลากร, และทิศทางการวิจัยในมหาวิทยาลัยไทย จากมุมมองของผู้เข้าร่วมเสวนา
- อธิบายปัญหา "ความรักลั่น" หรือความเหลื่อมล้ำระหว่างมหาวิทยาลัยประเภทต่างๆ (เช่น มหาวิทยาลัยชั้นนำ vs. ราชภัฏ) ในบริบทของสถานะ "มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ" และเสนอแนวทางในการลดช่องว่างดังกล่าว
- การที่งานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควรในแผนวิจัยแห่งชาติ (ววน.) ก่อให้เกิดผลเสียต่อการพัฒนาประเทศและสังคมไทยอย่างไรบ้าง จงวิเคราะห์และเสนอแนวทางแก้ไข
- จงวิเคราะห์บทบาทของ "นักการเมือง" และ "รัฐราชการ" ที่ผู้เข้าร่วมเสวนากล่าวถึงในการแก้ไขปัญหาอุดมศึกษาไทยในปัจจุบัน และประเมินความเป็นไปได้ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยบทบาทของทั้งสองฝ่ายนี้
- ในมุมมองของคุณ อะไรคือ "ทางออก" ที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับอุดมศึกษาไทยเพื่อหลุดพ้นจาก "หล่มโคลน" และก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน โดยอ้างอิงจากประเด็นที่ยกขึ้นมาในงานเสวนา
อภิธานศัพท์ (Glossary of Key Terms)
เสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism): อุดมการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจที่เน้นการเปิดเสรีทางการค้า, การลดบทบาทของรัฐ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, และการส่งเสริมกลไกตลาดและภาคเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
Predatory Journal (วารสารล่าเหยื่อ): วารสารทางวิชาการที่แสวงหาผลประโยชน์จากการตีพิมพ์งานวิชาการ โดยมักขาดกระบวนการ peer-review ที่มีคุณภาพ หรือไม่มีการควบคุมคุณภาพงานวิจัยอย่างเหมาะสม
World Ranking (การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก): ระบบการประเมินและจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น คุณภาพการสอน, คุณภาพการวิจัย, การอ้างอิงงานวิจัย, ชื่อเสียงทางวิชาการ, และความเป็นนานาชาติ
SCOPUS: ฐานข้อมูลบรรณานุกรมและบทคัดย่อของวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติที่จัดทำโดย Elsevier มักใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินผลงานตีพิมพ์ของนักวิชาการ
IRB (Institutional Review Board): คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ทำหน้าที่พิจารณาและให้การรับรองโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของอาสาสมัคร
H-Index (Hirsch Index): ตัวชี้วัดผลงานทางวิชาการของนักวิจัย โดยพิจารณาจากจำนวนบทความที่ตีพิมพ์และจำนวนครั้งที่บทความเหล่านั้นถูกอ้างอิง
อัตนานิคมทางปัญญา (Intellectual Self-Colonization): สภาวะที่งานวิชาการหรือการสร้างองค์ความรู้ของประเทศหนึ่งถูกครอบงำหรือพึ่งพากรอบคิด, ทฤษฎี, หรือมาตรฐานจากต่างประเทศมากเกินไป จนละเลยหรือด้อยค่าบริบทและความรู้ท้องถิ่น
สหภาพแรงงานการศึกษา (Education Labor Union): องค์กรที่รวมตัวกันของบุคลากรทางการศึกษา (เช่น ครู, อาจารย์มหาวิทยาลัย) เพื่อปกป้องสิทธิ, ผลประโยชน์, และต่อรองอำนาจกับผู้บริหารหรือรัฐบาล
ววน. (วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม): แผนยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ซึ่งกำหนดทิศทางและจัดสรรงบประมาณการวิจัย
สกสว. (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม): หน่วยงานหลักที่มีหน้าที่บริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ ววน.
PMU (Program Management Unit): หน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัย ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณจาก สกสว. เพื่อกระจายให้กับโครงการวิจัยต่างๆ
TQF (Thai Qualifications Framework for Higher Education): กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ เป็นระบบการประกันคุณภาพหลักสูตรการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของไทย
AQA (ASEAN Quality Assurance): มาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอาเซียน
KPI (Key Performance Indicator): ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานขององค์กรหรือหน่วยงาน
Merit-based: ระบบการบริหารจัดการที่ยึดหลักคุณธรรมและความสามารถเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือก, แต่งตั้ง, หรือประเมินผล
Facilitator: ผู้ที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก, สนับสนุน, หรือเป็นสื่อกลางเพื่อให้กระบวนการหรือกิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่น
Will Power: เจตจำนงหรือความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ
Networking: การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือองค์กร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล, ประสบการณ์, หรือความร่วมมือในด้านต่างๆ
Public Money: เงินสาธารณะ หรือเงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน
Human Resource (ทรัพยากรมนุษย์): บุคลากร หรือกำลังคนขององค์กรหรือประเทศ
Reskill/Upskill: การพัฒนาทักษะใหม่ (reskill) หรือเพิ่มพูนทักษะที่มีอยู่ให้สูงขึ้น (upskill) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป
Comments
Post a Comment