[NotebookLM] มหาวิทยาลัยไทย: การกลับไปนับหนึ่งใหม่
Original video:
Podcast generated by NotebookLM:
มาดูมุมมองอีกด้าน -- และดูการสรุปโดยใช้ NotebooLM - สรุปได้ flow มาก
Synopsis
แหล่งข้อมูลนี้มาจากวิดีโอ YouTube ที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการ “#ถ้าสังคมดี | มหา'ลัยไทยต้องกลับไปนับหนึ่ง | สมชาย ปรีชาศิลปกุล” จัดโดยคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสมาคมนักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาสยาม และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร งานนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีของคณะฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันการศึกษาในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านการอุดมศึกษาและนโยบายเกี่ยวกับรัฐ ชาติ ผู้ดำเนินรายการและตัวแทนคณะฯ ได้กล่าวเปิดงานและแนะนำ รองศาสตราจารย์ สมชาย ปรีชาศิลปกุล ซึ่งแม้จะเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน แต่ก็มีความสนใจในการประยุกต์ใช้ความรู้ทางสังคมศาสตร์เพื่อวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางกฎหมาย และเป็นนักวิชาการที่ทำงานเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม รวมถึงเป็นผู้ที่เคยเผชิญกับปัญหาในระบบการอุดมศึกษาไทย ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ได้รับเชิญมาปาฐกถาในหัวข้อ "มหา'ลัยไทยต้องกลับไปนับหนึ่ง"
บทสรุป: มหาวิทยาลัยไทยต้องกลับไปนับหนึ่ง (โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล)
การบรรยายของ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ในหัวข้อ "มหาวิทยาลัยไทยต้องกลับไปนับหนึ่ง" เป็นการวิพากษ์วิจารณ์สถานะของระบบอุดมศึกษาไทยอย่างลึกซึ้ง โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทบทวนวัตถุประสงค์และบทบาทของมหาวิทยาลัยในบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีประเด็นหลัก 3 เรื่อง ดังนี้
1. การเล่าเรื่องของมหาวิทยาลัยผ่านคำขวัญและสโลแกน
รศ.สมชาย เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์คำขวัญและสโลแกนของมหาวิทยาลัยไทย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก:
- กลุ่มที่ 1: พุทธสุภาษิตหรือคำอธิบายที่เชื่อมโยงกับศาสนาพุทธ
- เป็นกลุ่มที่พบได้มากที่สุด โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล (“อัตตนัง อุปมัง กะเร”: พึงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนดังปฏิบัติต่อตนเอง) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (“อัตตนัง ทะมยันติ ปัณฑิตา”: บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกฝนตนเอง)
- สะท้อนให้เห็นว่าความรู้ทางโลกมีความสำคัญ แต่ความรู้ทางธรรม (คุณธรรม, จริยธรรม) ก็สำคัญไม่แพ้กัน และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการฝึกฝนตนเองเพื่อนำความรู้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติ
- น่าสนใจที่มหาวิทยาลัยในไทยยังคงยึดติดกับหลักศาสนา ในขณะที่มหาวิทยาลัยในโลกตะวันตกก่อตั้งขึ้นเพื่อแยกตัวจากการครอบงำของศาสนา
- กลุ่มที่ 2: แบบ "เพื่อชีวิต"
- มีจำนวนไม่มากนัก แต่สะท้อนเป้าหมายของมหาวิทยาลัยที่เน้นการทำงานเพื่อสังคม เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (“จะศักดิ์กี่คุยที่ลุยโคลน”) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (“ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน”) และวลี “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน”
- คำขวัญในกลุ่มนี้มักเป็นแบบไม่เป็นทางการและสะท้อนจิตวิญญาณของการรับใช้สังคม
- กลุ่มที่ 3: แบบ "โลกสวย"
- เน้นแนวคิดเชิงบวกที่อาจไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง เช่น “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” (มหาวิทยาลัยแม่โจ้) และ “วิริยะ อุตสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จทั้งปวง”
- รศ.สมชาย วิพากษ์วิจารณ์ว่าคำขวัญเหล่านี้อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าความสำเร็จมาจากการพยายามเพียงอย่างเดียว โดยละเลยปัจจัยเชิงโครงสร้างและโอกาสที่จำกัด (ยกตัวอย่างสถิติการสอบผู้พิพากษาที่มีอัตราการสอบผ่านต่ำ)
ข้อสังเกตเพิ่มเติม:
- มหาวิทยาลัยราชภัฏ: รศ.สมชาย ชี้ให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 38 แห่งใช้สโลแกนเดียวกันคือ “คนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน” ซึ่งสะท้อนว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏไม่สามารถมีอุดมการณ์เฉพาะของตนเองได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ร่มใหญ่ของสถาบันทางการเมือง
- พลวัตของสโลแกน: สโลแกนมีพลวัตและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย คำขวัญใหม่ๆ เช่น “เป็นเลิศ เป็นธรรม ร่วมนำสังคม” (ธรรมศาสตร์อย่างเป็นทางการ) มักใช้ภาษาแบบ “การประกันคุณภาพ” ซึ่ง รศ.สมชาย มองว่า “ไม่ฮิต ไม่ติดตลาด” และ “จำไม่ได้หรอก เพราะว่าอะไร ภาษาจะคล้ายๆ กัน”
2. "Fail University" มหาวิทยาลัยที่ล้มเหลว
- รศ.สมชาย นำเสนอแนวคิด "Fail University" ซึ่งอ้างอิงจากบทความของอาจารย์ด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่วิพากษ์วิจารณ์มหาวิทยาลัยไทย อาจารย์ท่านนี้ให้คำจำกัดความของ "Fail University" ว่า:
- “มหาวิทยาลัยที่ล้มเหลว ไม่ได้แปลว่าตึกพัง แต่คือการเลือกทางเดินผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่รู้ตัว มุ่งแต่แรงที่สะท้อนประโยชน์ของต่างชาติ มีงานวิจัยมากมาย มีศาสตราจารย์ท่วมทน แต่กลับไม่ผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์สังคมอย่างเพียงพอ หน่วยงานนี้ยังถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยหรือไม่”
- รศ.สมชาย ชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญ 3 ประการที่ทำให้มหาวิทยาลัยไทยเข้าสู่ภาวะ "Fail University":
- 2.1 การมุ่งสู่การเป็น "มหาวิทยาลัยระดับโลก" อย่างบ้าคลั่ง:
- เน้นการจัดอันดับอย่างบ้าคลั่ง: มหาวิทยาลัยพยายามไต่อันดับโลกโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่แท้จริงต่อสังคมไทย
- "จ้างฝรั่งมาผัดผ้าขาวม้า": หลายมหาวิทยาลัยจ้างนักวิชาการต่างชาติมาเขียนบทความเพื่อเพิ่มอันดับ โดยไม่ได้เน้นการสอนหรือการสร้างความรู้ที่ยั่งยืน
- การซื้อบทความในวารสารต่างชาติ: เกิดปัญหาการซื้อบทความเพื่อตอบสนองความต้องการการตีพิมพ์ ซึ่งเป็นผลพวงจากการออกแบบระบบที่เน้นปริมาณงานวิจัย
- ความสำเร็จในการไต่อันดับ: ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยยังคงอยู่ในอันดับ 200-500 และต่ำกว่านั้น รศ.สมชาย ตั้งคำถามว่ามีอธิการบดีคนใดกล้าประกาศเป้าหมายที่จะพา มหาวิทยาลัยไปอยู่ใน Top 100 หรือไม่
- ปัญหาหลักสูตรปริญญาเอก: การบังคับให้นักศึกษาปริญญาเอกต้องตีพิมพ์ในวารสาร Scopus ทำให้การสำเร็จการศึกษายากกว่ามหาวิทยาลัยต่างประเทศ และ "จบยากกว่าเมืองนอกว่ะ"
- 2.2 "โลกคู่ขนานของความรู้":
- ความรู้ในมหาวิทยาลัยไม่ตอบโจทย์หรือไม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม
- ตัวอย่างกฎหมาย: แม้กระบวนการยุติธรรมจะมีปัญหาอย่างชัดเจน แต่คณะนิติศาสตร์ส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉยในเชิงสถาบัน มีเพียงการแสดงความคิดเห็นในนามปัจเจกบุคคลเท่านั้น
- เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีอยู่ แต่ถูกจำกัดเมื่อขัดแย้งกับอำนาจรัฐหรือชนชั้นนำ
- 2.3 "ภาวะบ้านใหญ่ในมหาวิทยาลัย":
- มหาวิทยาลัยกลายเป็นระบบที่มีผู้มีอำนาจดำรงตำแหน่งยาวนาน (นายกสภาฯ 20 ปี, อธิการบดีมากกว่า 1 ทศวรรษ)
- การแต่งตั้งผู้บริหารมักเป็นไปในลักษณะ "ผลัดกันเกาหลัง" คือผู้มีอำนาจในอดีตแต่งตั้งผู้สืบทอด และผู้สืบทอดก็ตอบแทนด้วยการแต่งตั้งบุคคลจาก "บ้านใหญ่" กลับมา
- "หลับตาก็รู้ว่าใครเป็นอธิการบดีคนถัดไป"
- "บ้านใหญ่" ในมหาวิทยาลัยเชื่อมโยงกับการเมืองแบบอำนาจนิยม ทำให้ผู้บริหารไม่รู้สึกผิดหรือกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเข้าไปรับตำแหน่งทางการเมืองหลังการรัฐประหาร
3. ทำไมต้องกลับไปนับหนึ่ง
รศ.สมชาย ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการ "กลับไปนับหนึ่ง" (ไม่ได้หมายถึงกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเดิม แต่เป็นการทบทวนพันธกิจพื้นฐาน) เนื่องจากสังคมกำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างมหาศาล ทั้งจาก AI, สังคมสูงวัย, การขาดประชาธิปไตย, ความขัดแย้ง และปัญหาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้
- เสียงสะท้อนจากภายในและภายนอก: มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มหาวิทยาลัยอย่างกว้างขวาง ทั้งจากฝ่ายเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม
- รศ.สมชาย ยกตัวอย่างจดหมายเปิดผนึกของ อัษฎางค์ ยมนาถ (ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม) ที่วิพากษ์วิจารณ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเน้นย้ำถึง:
- บริบทของการศึกษา: มหาวิทยาลัยควรเป็นพื้นที่แสวงหาความจริง เสรีภาพทางวิชาการ และบ่มเพาะพลเมือง ไม่ใช่แค่ผลิตแรงงาน
- ความนิ่งเฉยที่ท้าทายความชอบธรรม: การไม่กล้าเผชิญหน้ากับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม คือการละทิ้งบทบาทผู้นำทางศีลธรรม
- ความกล้าหาญทางจริยธรรม: หัวใจของผู้นำในสถาบันการศึกษา คือการยืนหยัดต่อสู้ความไม่ถูกต้อง
- บทสรุป: มหาวิทยาลัยไม่ควรเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นสถาบันแห่งธรรมที่ยึดมั่นในนิติธรรม และกล้าเผชิญหน้ากับความอยุติธรรม แม้จะขัดแย้งกับโครงสร้างอำนาจ
- แนวทางการกลับไปนับหนึ่ง:
- การเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน: การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย (เช่น พ.ร.บ. การอุดมศึกษาที่จำกัดวาระของนายกสภาและอธิการบดี) มีส่วนสำคัญในการยุติ "ภาวะบ้านใหญ่"
- บทบาทของปัจเจกและกลุ่ม: การตั้งคำถามและกระจายข้อมูลอย่างกว้างขวางสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- "แฮกระบบ": การใช้ช่องทางที่เปิดโอกาสให้ปัจเจกหรือกลุ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในระบบและสร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (เช่น กรณีประกันสังคม)
- การทบทวนคำขวัญ/สโลแกน: หากไม่สามารถแฮกระบบได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรกลับไปทบทวนและให้ความหมายใหม่แก่คำขวัญของมหาวิทยาลัย หรือเปลี่ยนแปลงมันเสีย
โดยสรุป รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ชี้ให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตจากการยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ การมุ่งเน้นที่ผิดพลาด และการถูกครอบงำโดย "บ้านใหญ่" แต่ก็ยังมีความหวังในการเปลี่ยนแปลง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยม อนุรักษ์นิยม หรือกลุ่มใดก็ตาม เพื่อทบทวนและกำหนดทิศทางใหม่ให้กับอุดมศึกษาไทยในอนาคต
--
Study Guide
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสถานะของมหาวิทยาลัยไทย:
มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตที่เรียกว่า "Fail University" จริงหรือ?
แหล่งข้อมูลระบุว่า "Fail University" ไม่ได้หมายถึงอาคารที่พังทลาย แต่เป็นการที่มหาวิทยาลัยเลือกเดินผิดทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่รู้ตัว มุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์ของต่างชาติ มีงานวิจัยมากมายและศาสตราจารย์จำนวนมาก แต่กลับผลิตบัณฑิตที่ไม่ตอบโจทย์สังคมอย่างเพียงพอ นี่คือภาพสะท้อนของปัญหาเชิงระบบที่ทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและอาจสูญเสียความชอบธรรมในฐานะสถาบันอุดมศึกษา
อะไรคือปัญหาสำคัญ 3 ประการที่มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญอยู่?
ปัญหาหลัก 3 ประการที่มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญอยู่คือ:
- การมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกและเน้นการจัดอันดับอย่างบ้าคลั่ง: มหาวิทยาลัยทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเพื่อการไต่อันดับโลก เช่น การจ้างนักวิชาการต่างชาติมาเขียนบทความเพื่อใส่ชื่อสังกัด หรือการซื้อบทความในวารสารต่างชาติ ซึ่งไม่ได้สะท้อนคุณภาพการศึกษาที่แท้จริงและไม่ได้นำไปสู่ประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม
- โลกคู่ขนานของความรู้: ความรู้ที่ผลิตในมหาวิทยาลัยไม่ตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างองค์ความรู้ในสถาบันกับการปฏิบัติจริงในสังคม รวมถึงการที่มหาวิทยาลัยไม่กล้าแสดงความเห็นหรือยืนหยัดต่อความไม่ถูกต้องเมื่อขัดแย้งกับอำนาจรัฐ
- ภาวะ "บ้านใหญ่" ในมหาวิทยาลัย: คล้ายกับการเมืองแบบอำนาจนิยม ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยดำรงตำแหน่งเป็นเวลานาน มีการสืบทอดอำนาจและมีการเชื่อมโยงกับระบอบอำนาจนิยมภายนอก ทำให้ขาดการเปลี่ยนแปลงและไม่ตอบสนองต่อเสียงสะท้อนจากประชาคมภายในและสังคมภายนอก
คำขวัญและสโลแกนของมหาวิทยาลัยไทยสะท้อนอะไรเกี่ยวกับค่านิยมและทิศทางของสถาบัน?
คำขวัญและสโลแกนของมหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก:
- กลุ่มพุทธสุภาษิต: มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ใช้คำขวัญที่เป็นพุทธสุภาษิตหรือคำสอนทางพุทธศาสนา สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับความรู้ทางโลกคู่กับความรู้ทางธรรม คุณธรรม และการเน้นการฝึกฝนตนเองในทางปฏิบัติ ซึ่งน่าสนใจเพราะมหาวิทยาลัยในโลกตะวันตกมักจะเกิดขึ้นเพื่อแยกตัวจากศาสนา
- กลุ่ม "เพื่อชีวิต": มีจำนวนน้อย สะท้อนถึงการเน้นการทำงานเพื่อสังคมและประชาชน เช่น "เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง" หรือ "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน"
- กลุ่ม "โลกสวย": มักเป็นคำขวัญที่เน้นความพยายาม ความอุตสาหะ และความสำเร็จ โดยไม่ได้สะท้อนถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ เช่น "งานหนักไม่เคยฆ่าคน" หรือ "วิริยะ อุตสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จทั้งปวง"
โดยรวมแล้ว คำขวัญเหล่านี้เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยกำหนดขึ้นเพื่ออธิบายตนเองและอุดมการณ์ของตน
ทำไมมหาวิทยาลัยราชภัฏจึงมีคำขวัญเดียวและมีความหมายอย่างไร?
มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 38 แห่งในประเทศไทยไม่มีคำขวัญเฉพาะของแต่ละแห่ง แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้สโลแกนเดียวคือ "คนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน" สิ่งนี้น่าสนใจและอาจตีความได้ว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏไม่สามารถมีอุดมการณ์เฉพาะเจาะจงของตนเองได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ร่มใหญ่ของสถาบันทางการเมือง ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏอาจทำหน้าที่เป็นกลไกหนึ่งของรัฐที่มีอุดมการณ์ชุดหนึ่งกำหนดไว้แล้ว
ความรู้ที่ผลิตในมหาวิทยาลัยไม่ตอบโจทย์สังคม หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยมักไม่สอดคล้องหรือไม่ได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีความเห็นร่วมกันว่ากระบวนการยุติธรรมมีปัญหา แต่กลับไม่ค่อยมีแถลงการณ์เชิงสถาบันจากคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ออกมาโต้แย้ง ทำให้ความรู้ในมหาวิทยาลัยกับปัญหาในสังคมเดินไปคนละทิศคนละทางกัน สะท้อนถึงเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่อาจมีข้อจำกัดเมื่อขัดแย้งกับอำนาจรัฐ
ภาวะ "บ้านใหญ่" ในมหาวิทยาลัยคืออะไร และส่งผลกระทบอย่างไร?
"บ้านใหญ่" ในมหาวิทยาลัยคือระบบที่ผู้บริหารระดับสูง เช่น นายกสภามหาวิทยาลัยและอธิการบดี สามารถดำรงตำแหน่งได้เป็นเวลานาน มีการแต่งตั้งและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้ขาดการเปลี่ยนแปลงและหมุนเวียนผู้บริหาร ระบบนี้มักเชื่อมโยงกับการเมืองแบบอำนาจนิยมภายนอก ทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยอาจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองที่เกิดจากการรัฐประหารโดยไม่รู้สึกผิดหรือเกรงกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในประชาคม ส่งผลให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างแท้จริง
การ "กลับไปนับหนึ่ง" สำหรับมหาวิทยาลัยไทยหมายความว่าอย่างไร?
การ "กลับไปนับหนึ่ง" ไม่ได้หมายถึงการย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นแบบเดิมๆ ที่มหาวิทยาลัยถูกตั้งขึ้นเพื่อผลิตคนเข้าระบบราชการ แต่เป็นการทบทวนและตั้งคำถามกับพันธกิจพื้นฐานที่ควรจะเป็นของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันและอนาคต ในบริบทของสังคมที่มีความผันผวนสูง (เช่น AI, สังคมผู้สูงอายุ, ความขัดแย้งทางการเมือง) มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับตัวและกำหนดทิศทางใหม่ที่ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ เพื่อเป็นพื้นที่แห่งการแสวงหาความจริง เสรีภาพทางวิชาการ และการบ่มเพาะพลเมืองที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่การผลิตแรงงาน
การเปลี่ยนแปลงมหาวิทยาลัยไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การเปลี่ยนแปลงมหาวิทยาลัยไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม การเปลี่ยนแปลงบางส่วนสามารถทำได้ผ่านการแก้ไขกฎหมายและโครงสร้างเชิงสถาบัน (เช่น การจำกัดวาระของนายกสภาและอธิการบดี) นอกจากนี้ บทบาทของปัจเจกบุคคลและกลุ่มต่างๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยการตั้งคำถาม การเผยแพร่ข้อมูลอย่างกว้างขวางเพื่อสร้างแรงกดดัน และการใช้ช่องทางที่ระบบเปิดโอกาสให้ "แฮกระบบ" เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ก็เป็นหนทางหนึ่งที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับกรณีของประกันสังคมที่กลุ่มคนเล็กๆ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้เมื่อมองเห็นช่องทางและโอกาส
Comments
Post a Comment