เรียนคอร์สประชากรศาสตร์ของ CU ไปพร้อมกับ Gemini สนุกมว๊าก (3)
ต่อ ๆ เพราะถามด้วยว่างานวิจัยน่าจะช่วยอะไรเกี่ยวกับปัญหาประชากรผู้สูงวัยได้บ้าง รวมไปถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยด้วย
Q: การศึกษาการเปลี่ยนผ่านทางประชากร มีความสำคัญต่อการวางนโยบายทางกาศึกษา และวิจัยระดับมหาวิทยาลัยยังไงบ้าง
การศึกษาการเปลี่ยนผ่านทางประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางนโยบายการศึกษาและการวิจัยในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศไทย เนื่องจากเป็นตัวสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในอนาคต ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งอุปทานและอุปสงค์ในระบบการศึกษา
ต่อไปนี้คือแนวทางที่สำคัญของผลกระทบและการวางนโยบาย:
1. ผลกระทบต่อการวางนโยบายทางการศึกษา (ระดับประถม-อุดมศึกษา):
-
จำนวนนักเรียน/นักศึกษาลดลง:
- ความสำคัญ: อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ (ดังที่เห็นในพีระมิดประชากรฐานแคบ) หมายความว่าจำนวนเด็กที่เข้าสู่ระบบการศึกษาในแต่ละระดับชั้นจะลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ประถม มัธยม จนถึงอุดมศึกษา
- ผลกระทบ: มหาวิทยาลัยจะประสบปัญหา นักศึกษาลดลง ทำให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงนักศึกษาที่รุนแรงขึ้น บางคณะ/สาขาอาจไม่มีนักศึกษาเพียงพอที่จะเปิดสอนได้ และอาจต้องควบรวมหรือปิดตัวลง
- นโยบายที่ต้องพิจารณา:
- การปรับโครงสร้างมหาวิทยาลัย: พิจารณาควบรวมคณะ/สาขา ปรับขนาดของมหาวิทยาลัยให้เหมาะสมกับจำนวนนักศึกษาที่ลดลง
- การปรับแผนการรับนักศึกษา: ทบทวนโควตาการรับนักศึกษาให้สอดคล้องกับแนวโน้มประชากร
- การดึงดูดนักศึกษาต่างชาติ: พัฒนาหลักสูตรนานาชาติและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักศึกษาจากต่างประเทศ เพื่อชดเชยจำนวนนักศึกษาไทยที่ลดลง
- การขยายตลาดผู้เรียน: หันมารับผู้เรียนวัยทำงานหรือผู้สูงอายุมากขึ้น ผ่านหลักสูตรระยะสั้น (Upskill/Reskill), การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หรือหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
-
การเปลี่ยนแปลงความต้องการทักษะ (Skill Mismatch):
- ความสำคัญ: สังคมสูงวัยต้องการทักษะที่แตกต่างออกไป เช่น ทักษะด้านสุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุ เทคโนโลยีดิจิทัล และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (เนื่องจากแรงงานมีจำนวนลดลง)
- ผลกระทบ: หากหลักสูตรการศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาดแรงงาน จะเกิดปัญหา Skill Mismatch ทำให้บัณฑิตหางานยาก และอุตสาหกรรมขาดแคลนแรงงานที่ตรงกับความต้องการ
- นโยบายที่ต้องพิจารณา:
- การปรับปรุงหลักสูตร: ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) ที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง เช่น AI, Data Science, Robotics, Health Tech, Green Economy
- เน้นทักษะ Soft Skills: ส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น Critical Thinking, Problem Solving, Creativity, Communication, Collaboration (4C's)
- ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม: สร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคเอกชนในการออกแบบหลักสูตร การฝึกงาน และการวิจัย เพื่อให้บัณฑิตมีทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน
-
การลงทุนในคุณภาพมากกว่าปริมาณ:
- ความสำคัญ: เมื่อจำนวนนักศึกษาลดลง มหาวิทยาลัยไม่ควรเน้นการแข่งขันด้านจำนวนนักศึกษาอีกต่อไป แต่ควรหันมาเน้น "คุณภาพ" ของการศึกษา เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีศักยภาพสูง
- นโยบายที่ต้องพิจารณา:
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี: ยกระดับห้องปฏิบัติการ, ห้องเรียนอัจฉริยะ, แหล่งเรียนรู้ดิจิทัล
- การพัฒนาคณาจารย์: ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการสอน การวิจัย และการใช้เทคโนโลยีของคณาจารย์
- การเพิ่มงบประมาณต่อหัวนักศึกษา: อาจต้องมีการจัดสรรงบประมาณต่อนักศึกษาเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน
2. ผลกระทบต่อการวิจัยระดับมหาวิทยาลัย:
-
ทิศทางการวิจัย:
- ความสำคัญ: การเปลี่ยนผ่านทางประชากรนำมาซึ่งความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ในการวิจัย
- ผลกระทบ: การวิจัยจะต้องปรับทิศทางเพื่อตอบโจทย์ปัญหาและโอกาสของสังคมสูงวัยและสังคมที่อัตราเกิดต่ำ
- นโยบายที่ต้องพิจารณา:
- ส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุ: เช่น เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงอายุ (Aging Tech), การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ (Geriatric Care), นโยบายสังคมผู้สูงอายุ, เศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)
- การวิจัยด้านประชากร: ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราเกิดที่ต่ำ, การย้ายถิ่น, ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
- การวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม: เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานในภาวะที่แรงงานลดลง เช่น AI, Automation, IoT, Smart Manufacturing
-
แหล่งทุนวิจัยและบุคลากรวิจัย:
- ความสำคัญ: การวิจัยที่ดีต้องอาศัยแหล่งทุนที่เพียงพอและนักวิจัยที่มีคุณภาพ
- ผลกระทบ: หากจำนวนนักศึกษาลดลงและงบประมาณภาครัฐด้านการศึกษาลดลง อาจกระทบต่อการผลิตนักวิจัยรุ่นใหม่และแหล่งทุนวิจัย
- นโยบายที่ต้องพิจารณา:
- ส่งเสริมการวิจัยที่สร้างผลกระทบ (Impactful Research): เน้นการวิจัยที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาสังคมและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้จริง เพื่อดึงดูดทุนวิจัยจากภาคเอกชนและหน่วยงานภายนอก
- สร้างเครือข่ายวิจัยนานาชาติ: เพื่อดึงดูดนักวิจัยต่างชาติและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
- พัฒนาบุคลากรวิจัย: ลงทุนในการสร้างและพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในสาขาที่สอดรับกับความท้าทายด้านประชากรและเทคโนโลยี
โดยสรุป การศึกษาการเปลี่ยนผ่านทางประชากรเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมหาวิทยาลัยในการปรับตัวและวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในการผลิตบุคลากรคุณภาพสูง สร้างองค์ความรู้ และนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของประเทศในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงประชากรอย่างรวดเร็วและไม่เหมือนในอดีตได้
Q: แล้วความจำเป็นสำหรับการทำงานวิจัยพื้นฐาน ในประเทศที่มีการเปลี่ยนผ่านทางประชากรแบบเมืองไทย ขั้นที่ 4 แต่ยังติดกับดักรายได้ปานกลาง มีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง ในทางนโยบาย จำเป็นต้องมีการสนับสนุน งานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานหรือไม่
ในบริบทของประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทางประชากรสู่ขั้นตอนที่ 4 (สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์) และยังคงติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางนั้น ความจำเป็นสำหรับการสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (Basic Science Research) ไม่ได้ลดน้อยลงเลย แต่กลับยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อเสนอแนะในทางนโยบายสำหรับการสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน:
1. เหตุผลความจำเป็นในการสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน:
- รากฐานของการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง: งานวิจัยพื้นฐานคือการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ โดยไม่มีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์โดยตรงในทันที แต่องค์ความรู้เหล่านี้เป็น รากฐานที่สำคัญที่สุด สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลิกโฉม (Disruptive Innovation) ในอนาคต หากไม่มีงานวิจัยพื้นฐาน เราจะขาดองค์ความรู้ที่จะนำไปต่อยอดเป็นเทคโนโลยีที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงได้
- ตัวอย่าง: การค้นพบโครงสร้าง DNA นำไปสู่เทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมสมัยใหม่; การค้นพบควอนตัมฟิสิกส์นำไปสู่เลเซอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัมในปัจจุบัน
- การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างมูลค่าเพิ่ม: ในภาวะที่ประชากรวัยแรงงานลดลงและเข้าสู่สังคมสูงวัย การเพิ่มผลิตภาพแรงงานเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง งานวิจัยพื้นฐานสามารถนำไปสู่การค้นพบใหม่ๆ ที่ช่วยให้เราผลิตสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
- การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของสังคมสูงวัย: แม้งานวิจัยพื้นฐานจะไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาโดยตรง แต่การลงทุนในสาขาชีววิทยา การแพทย์ เคมี ฟิสิกส์ อาจนำไปสู่การค้นพบยาใหม่ๆ วิธีการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เทคโนโลยีช่วยในการดูแลสุขภาพ หรือแม้กระทั่งความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการชะลอวัย
- การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว: ประเทศที่พึ่งพาเพียงเทคโนโลยีที่นำเข้าหรือเทคโนโลยีที่ผู้อื่นสร้างขึ้น จะไม่สามารถเป็นผู้นำหรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนได้ การมีขีดความสามารถในการวิจัยพื้นฐานของตนเองเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและรักษาอำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยี
- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระดับสูง (Human Capital Development): การมีงานวิจัยพื้นฐานที่ดีจะดึงดูดและผลิตนักวิจัย วิทยาศาสตร์ และวิศวกรที่มีความสามารถสูง ซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) การขาดนักวิจัยพื้นฐานที่เข้มแข็งจะทำให้เราไม่สามารถพัฒนา "สมอง" ที่จำเป็นในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้
2. แนวทางนโยบายในการสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน:
-
จัดสรรงบประมาณที่มั่นคงและเพียงพอ:
- เพิ่มงบประมาณ R&D โดยรวม: รัฐบาลต้องเพิ่มสัดส่วนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศต่อ GDP ให้สูงขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนงบประมาณที่จัดสรรให้งานวิจัยพื้นฐาน
- ระยะยาวและยืดหยุ่น: งบประมาณสำหรับงานวิจัยพื้นฐานควรเป็นงบประมาณระยะยาว (multi-year funding) เพื่อให้นักวิจัยมีเสถียรภาพและสามารถทำงานวิจัยที่ใช้เวลานานได้ ไม่ใช่เพียงโครงการระยะสั้น
- ทุนวิจัยแบบ Explorer Grants: จัดตั้งกองทุนพิเศษสำหรับงานวิจัยที่เน้นการสำรวจ (Exploratory Research) หรือ "Big Question Research" ที่อาจยังไม่มีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ชัดเจนในตอนแรก แต่มีศักยภาพในการสร้างการค้นพบที่สำคัญ
-
สร้างระบบนิเวศการวิจัยที่เอื้ออำนวย:
- โครงสร้างพื้นฐาน: ลงทุนในห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยและบุคลากรทางเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญ
- การสนับสนุนนักวิจัยรุ่นใหม่: มีทุนวิจัยและตำแหน่งงานที่มั่นคงสำหรับนักวิจัยจบใหม่ เพื่อดึงดูดคนเก่งให้อยู่ในระบบวิจัย
- ลดภาระงานที่ไม่ใช่งานวิจัย: ลดภาระงานสอน หรืองานธุรการที่ไม่จำเป็นให้กับนักวิจัย เพื่อให้มีเวลาโฟกัสกับการวิจัยมากขึ้น
- การสนับสนุนการตีพิมพ์และการนำเสนอผลงาน: มีทุนสนับสนุนการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติและการนำเสนอผลงานในเวทีโลก
-
สร้างเครือข่ายและความร่วมมือ:
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: สนับสนุนให้นักวิจัยไทยสร้างเครือข่ายกับสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลก เพื่อเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ
- ความร่วมมือระหว่างสถาบัน: ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และหน่วยงานภาครัฐ/เอกชน เพื่อสร้าง Synergy และเชื่อมโยงงานวิจัยพื้นฐานกับงานวิจัยประยุกต์
- การดึงดูดนักวิจัยต่างชาติ: ออกนโยบายที่เอื้อต่อการดึงดูดนักวิจัยต่างชาติที่มีชื่อเสียงมาร่วมงานวิจัยในประเทศไทย
-
ส่งเสริมวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม:
- การศึกษา STEM: ลงทุนกับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เพื่อสร้างฐานบุคลากรที่มีความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง
- การสื่อสารวิทยาศาสตร์: ส่งเสริมให้มีการสื่อสารงานวิจัยพื้นฐานให้สาธารณะชนเข้าใจ เพื่อสร้างความตระหนักและความตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนในวิทยาศาสตร์
สรุป:
แม้ประเทศไทยจะยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาและเผชิญกับกับดักรายได้ปานกลาง แต่การละเลยการลงทุนในงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานจะเป็นความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ที่ร้ายแรง เพราะมันคือการตัดโอกาสในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและหลุดพ้นจากกับดักนั้น การสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนทางนโยบาย ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีประยุกต์และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระยะยาว ท่ามกลางความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านทางประชากรและสังคมสูงวัย
Q: ช่วยอธิบายเรื่องการปันผลทางประชากรให้หน่อย มีความสำคัญอย่างไรบ้าง -- เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินคำว่าการปันผลทางประชากร (คือการใช้ประโยชน์จากลักษณะโครงสร้างประชากรแบบหนึ่ง ๆ
แผนภาพนี้อธิบายแนวคิดเรื่อง "การปันผลทางประชากร" (Demographic Dividend) ซึ่งเป็น "โอกาสทางเศรษฐกิจ" ที่ส่งผลมาจากการเปลี่ยนผ่านทางประชากร
คำอธิบายแนวคิด "การปันผลทางประชากร":
การปันผลทางประชากรคือ ช่วงเวลาที่สัดส่วนของประชากรวัยแรงงาน (Working-age Population) มีขนาดใหญ่กว่าสัดส่วนของ ประชากรวัยพึ่งพิง (Dependent Population) ซึ่งประกอบด้วยเด็ก (วัยต่ำกว่า 15 ปี) และผู้สูงอายุ (วัย 65 ปีขึ้นไป)
- วัยแรงงาน: คือกลุ่มคนที่มีอายุอยู่ในช่วงที่สามารถทำงานและสร้างรายได้ได้ (โดยทั่วไปคือ 15-64 ปี หรือ 20-64 ปี ขึ้นอยู่กับการนิยาม)
- วัยพึ่งพิง:
- วัยเด็ก: ประชากรที่ยังไม่เข้าสู่วัยแรงงาน (โดยทั่วไปคือ 0-14 ปี)
- วัยสูงอายุ: ประชากรที่เกินวัยแรงงานและมักจะเกษียณแล้ว (โดยทั่วไปคือ 65 ปีขึ้นไป)
ภาพนี้สื่อว่า: จำนวนประชากรวัยแรงงาน (คนผูกไท) > จำนวนประชากรวัยเด็ก (เด็กใส่หมวก) + จำนวนประชากรวัยสูงอายุ (คนแก่ถือไม้เท้า)
เมื่อเกิดสถานการณ์นี้ สัดส่วนของคนที่ผลิต (วัยแรงงาน) มีมากกว่าคนที่ต้องพึ่งพิง ทำให้เกิด "โอกาส" ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก:
- มีกำลังแรงงานจำนวนมาก: พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งส่งผลให้มีแรงงานเพียงพอต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการ
- อัตราส่วนพึ่งพิงต่ำลง: ภาระในการเลี้ยงดูเด็กและผู้สูงอายุของวัยแรงงานลดลง ทำให้ครัวเรือนมีเงินออมมากขึ้น สามารถนำเงินไปลงทุนเพื่อการศึกษาบุตร หรือลงทุนในธุรกิจได้
- เงินออมและการลงทุนเพิ่มขึ้น: เมื่อมีเงินออมในครัวเรือนและประเทศเพิ่มขึ้น สามารถนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
- การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์มีประสิทธิภาพขึ้น: ด้วยจำนวนเด็กที่ลดลง ทำให้สามารถลงทุนในการศึกษาและสาธารณสุขต่อเด็กแต่ละคนได้มากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตดีขึ้น
ความสำคัญของการปันผลทางประชากร:
การปันผลทางประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้:
- เร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth): เป็นช่วงเวลาที่ประเทศมีศักยภาพสูงสุดในการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีกำลังแรงงานที่อุดมสมบูรณ์และมีภาระการพึ่งพิงที่ต่ำ ช่วยให้ผลิตภาพโดยรวมของประเทศสูงขึ้น ประเทศในเอเชียหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน (และจีน) ได้ใช้ประโยชน์จากช่วงการปันผลทางประชากรนี้ในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด
- เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน: เมื่อครัวเรือนมีเงินออมมากขึ้น รัฐบาลมีภาระด้านสวัสดิการผู้พึ่งพิงลดลง สามารถนำเงินไปลงทุนในสิ่งที่จะสร้างผลตอบแทนในระยะยาว เช่น การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน, การวิจัยและพัฒนา
- ลดความยากจน: การมีงานทำและรายได้ที่เพิ่มขึ้นของวัยแรงงาน ช่วยยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของครัวเรือนและลดอัตราความยากจนในภาพรวม
- โอกาสในการลงทุนเพื่ออนาคต: เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุนในด้านการศึกษาและสุขภาพของประชากรรุ่นต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าประชากรในอนาคตจะมีคุณภาพและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศได้ต่อเนื่อง
- สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางสังคม: การมีงานทำและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นมักจะนำไปสู่ความมั่นคงทางสังคมและลดความตึงเครียดต่างๆ
สถานการณ์ของประเทศไทยกับการปันผลทางประชากร:
ประเทศไทยเคยอยู่ในช่วงของการปันผลทางประชากรที่สำคัญในช่วงทศวรรษ 1980s และ 1990s ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว (จากการที่อัตราการเกิดลดลงอย่างรวดเร็วในขณะที่อัตราตายอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก)
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังจะสิ้นสุดช่วงการปันผลทางประชากรนี้แล้ว เนื่องจากอัตราการเกิดที่ต่ำมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฐานของพีระมิดประชากรแคบลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ประชากรวัยแรงงาน (ที่เคยเป็นกลุ่มใหญ่) กำลังก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ ทำให้สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ "อัตราส่วนพึ่งพิง" กำลังจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย:
เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะ "ปิดหน้าต่าง" ของการปันผลทางประชากร สิ่งสำคัญคือต้อง:
- ใช้ประโยชน์จากช่วงวัยแรงงานที่ยังเหลืออยู่: เร่งยกระดับผลิตภาพและทักษะของแรงงานที่มีอยู่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ได้มากที่สุด
- เตรียมรับมือสังคมสูงวัย: พัฒนาระบบสวัสดิการ, ระบบสุขภาพ, และเศรษฐกิจให้รองรับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
- ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์: ยกระดับคุณภาพการศึกษาและทักษะของประชากรรุ่นใหม่และตลอดชีวิต เพื่อให้ประชากรน้อยลงแต่มีคุณภาพสูงขึ้น
- ส่งเสริมการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี: เพื่อชดเชยการลดลงของจำนวนแรงงาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยมูลค่าเพิ่มสูง
การปันผลทางประชากรจึงเป็น "โอกาสทอง" ที่มีช่วงเวลาจำกัด ประเทศที่ฉวยโอกาสนี้ได้ดีจะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่ประเทศที่พลาดโอกาสนี้ อาจต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาวครับ
Q: เอาภาพสไลด์ เข้าไปถาม อธิบายตรงนี้ให้หน่อย
แผนภาพนี้แสดงถึง "4. เงื่อนไขด้านนโยบายของรัฐกับการปันผลทางประชากร" ซึ่งอธิบายว่ารัฐบาลควรดำเนินนโยบายใน 4 ด้านหลักอย่างไร เพื่อให้ประเทศไทยสามารถได้รับประโยชน์จาก "การปันผลทางประชากร" ได้อย่างเต็มที่ และเปลี่ยนโอกาสทางประชากรให้เป็นผลลัพธ์เชิงบวกต่อการพัฒนาประเทศ
แนวคิดหลักคือ นโยบายทั้ง 4 ประเภทนี้ต้อง "สอดประสาน เอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน" เพื่อทำให้เงื่อนไขด้านคุณภาพประชากรเป็นผลได้ (คือประชากรมีคุณภาพและสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงสุด)
คำอธิบายแต่ละด้านของนโยบาย:
1. ด้านเศรษฐกิจ:
- เป้าหมาย: สร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการลงทุน การแข่งขัน และการเติบโต
- นโยบายที่สำคัญ:
- เปิดเสรีมากขึ้น: ลดข้อจำกัดและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการแข่งขัน
- แข่งขันอย่างเป็นธรรมทั้งภายในและนอกประเทศ: สร้างกลไกที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ไม่มีการผูกขาดหรือการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน เพื่อให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพและเติบโตได้
2. ด้านแรงงาน:
- เป้าหมาย: ทำให้ตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดี
- นโยบายที่สำคัญ:
- เอื้ออำนวยให้ตลาดแรงงานมีลักษณะยืดหยุ่น (Flexible Labour Market):
- ปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้การจ้างงานและการเลิกจ้างมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองแรงงานกับความคล่องตัวของภาคธุรกิจ (เช่น การจ้างงานตามสัญญา, ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น)
- ส่งเสริมการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่ตลาดต้องการ และการปรับเปลี่ยนสายอาชีพ (Reskilling/Upskilling) เพื่อให้แรงงานสามารถโยกย้ายไปสู่ภาคส่วนที่มีการเติบโตได้ง่ายขึ้น
- ลดอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายแรงงานทั้งในและต่างประเทศ (เช่น การจ้างงานแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายและเหมาะสม)
- เอื้ออำนวยให้ตลาดแรงงานมีลักษณะยืดหยุ่น (Flexible Labour Market):
3. ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์:
- เป้าหมาย: ยกระดับคุณภาพและศักยภาพของประชากรให้สูงสุด เพื่อให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
- นโยบายที่สำคัญ:
- เอื้ออำนวยต่อการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ 3 ด้าน:
- ด้านสุขภาพ: ลงทุนในระบบสาธารณสุข การส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดี เพื่อให้ประชากรมีสุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพตลอดช่วงชีวิต (รวมถึงการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ)
- ด้านการศึกษาฝึกอบรม: พัฒนาระบบการศึกษาให้มีคุณภาพตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงอุดมศึกษา ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย เน้นทักษะที่จำเป็นในอนาคต (เช่น ทักษะดิจิทัล, ทักษะการคิดวิเคราะห์) และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- ด้านพัฒนาทักษะและสมรรถนะในการทำงาน: ส่งเสริมการพัฒนาทักษะเฉพาะทาง (Hard Skills) และทักษะทั่วไป (Soft Skills) ที่จำเป็นต่อการทำงานและอาชีพในยุคเศรษฐกิจใหม่ เช่น ทักษะการแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน การปรับตัว
- เอื้ออำนวยต่อการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ 3 ด้าน:
4. ด้านระบบการคลัง (Fiscal Policy):
- เป้าหมาย: สร้างความมั่นคงทางการเงินและการลงทุน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- นโยบายที่สำคัญ:
- เอื้อให้เกิดแรงจูงใจต่อการลงทุนและการออม:
- นโยบายภาษีที่ส่งเสริมการลงทุนและนวัตกรรม
- ส่งเสริมการออมภาคครัวเรือนและภาคส่วนต่างๆ (เช่น ผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญ) เพื่อเป็นแหล่งทุนในการพัฒนาประเทศและรองรับวัยเกษียณ
- ให้ความรู้ด้านการเงิน การออม และการลงทุน:
- ส่งเสริมความรู้และทักษะทางการเงินให้กับประชาชนทุกกลุ่มอายุ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ วางแผนการออมและลงทุนเพื่อวัยเกษียณ และสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ครัวเรือน
- เอื้อให้เกิดแรงจูงใจต่อการลงทุนและการออม:
การสอดประสานและเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน:
แนวคิดสำคัญที่แผนภาพนี้เน้นคือการที่ทั้ง 4 ด้านนี้ต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ:
- เศรษฐกิจที่เปิดเสรีและแข่งขันได้ จะสร้างโอกาสการจ้างงานและเพิ่มความต้องการแรงงานที่มีทักษะ
- ตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่น จะช่วยให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (สุขภาพ การศึกษา ทักษะ) จะสร้างประชากรที่มีคุณภาพสูง พร้อมที่จะทำงานในตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่นและสร้างมูลค่าเพิ่มในเศรษฐกิจที่แข่งขันได้
- ระบบการคลังที่มั่นคงและส่งเสริมการลงทุน/ออม จะเป็นแหล่งเงินทุนที่จำเป็นในการลงทุนด้านเศรษฐกิจ แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
หากนโยบายเหล่านี้ไม่สอดคล้องกันหรือไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ แม้ประเทศจะอยู่ในช่วงการปันผลทางประชากร ก็อาจไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ หรือหากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว (เช่น ประเทศไทยในปัจจุบัน) ก็ยังคงเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัยและหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
Q: อธิบายเพิ่มเติมการปันผลระยะที่ 2 ให้หน่อย และอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันที่มีคนพูดว่าไทย แก่ก่อนรวย
ครับ เรามาเจาะลึกเรื่อง "การปันผลทางประชากร ระยะที่ 2" และเชื่อมโยงกับสถานการณ์ "ไทยแก่ก่อนรวย" ในปัจจุบันกันครับ
Comments
Post a Comment