เรียนคอร์สประชากรศาสตร์ของ CU ไปพร้อมกับ Gemini สนุกมว๊าก (6)
มีการพูดถึงเรื่องความเลื่อมล้ำของการเข้าถึงทางด้านสาธารณสุข และความพยายามที่จะแก้ปัญหา และบทบาทของการนักประชากรศาสตร์ที่ทำการสำรวจเพื่อออกแบบนโยบาย และงบประมาณในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระดับประชากร
Q: อธิบายเรื่องความเลื่อมล้ำทางการแพทย์ให้หน่อย - พร้อมภาพ
ภาพนี้อธิบายถึง "ความเหลื่อมล้ำเชิงโอกาสด้านบริการสาธารณสุข" ในประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ในแต่ละภูมิภาค
คำอธิบายภาพ:
ภาพแสดงแผนที่ประเทศไทยที่แบ่งออกเป็นภูมิภาคต่างๆ โดยมีจุดสนใจอยู่ที่ 2 ภูมิภาคหลักที่แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจน:
-
บุคลากรทางการแพทย์:
- กลุ่มคนและหมอ: แสดงถึงบุคลากรทางการแพทย์ (เช่น แพทย์ พยาบาล)
- 1 : 5,000 คน (เส้นประชี้ไปภาคเหนือ/ตะวันออกเฉียงเหนือ): หมายความว่า ในภูมิภาคนี้ บุคลากรทางการแพทย์ 1 คน ต้องดูแลประชากรประมาณ 5,000 คน ซึ่งแสดงถึงอัตราส่วนที่ต่ำ (บุคลากรน้อยเมื่อเทียบกับประชากร)
- 1 : >1,000 คน (เส้นประชี้ไปภาคกลาง): หมายความว่า ในภูมิภาคนี้ บุคลากรทางการแพทย์ 1 คน ดูแลประชากรน้อยกว่า 1,000 คน (อาจจะ 1:200, 1:500) ซึ่งแสดงถึงอัตราส่วนที่สูงกว่ามาก (บุคลากรมากกว่าเมื่อเทียบกับประชากร)
-
เครื่องมือทางการแพทย์:
- เครื่อง MRI: แสดงถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีสูงและมีราคาสูง
- 1 : 9 (น่าจะหมายถึง 1 เครื่องต่อจำนวนประชากร): ตัวเลขนี้อาจจะแสดงถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีราคาสูง หรืออาจเป็นอัตราส่วนของเครื่องมือดังกล่าวที่กระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น (เช่น มีเครื่อง MRI 1 เครื่องต่อโรงพยาบาล 9 แห่ง หรือ 1 เครื่องต่อ 9 จังหวัด) หรืออาจเป็นตัวเลขที่เน้นว่าจำนวนเครื่องมือเหล่านี้มีจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการ หรือมีการกระจุกตัวในบางภูมิภาค/จังหวัดที่พัฒนาแล้ว
ความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ในภาพนี้:
ภาพนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือทางการแพทย์
-
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบุคลากร:
- ภาคกลาง (และโดยเฉพาะกรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการแพทย์ มีบุคลากรทางการแพทย์หนาแน่นกว่ามาก (อัตราส่วนบุคลากรต่อประชากรดีกว่า)
- ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก กลับมีบุคลากรทางการแพทย์น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ทำให้ประชาชนในพื้นที่เหล่านี้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยากกว่า ต้องรอคิวนานกว่า หรืออาจไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
-
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์:
- เครื่องมือทางการแพทย์ราคาแพงและเทคโนโลยีสูง เช่น MRI มักจะกระจุกตัวอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมืองหลัก หรือภูมิภาคที่พัฒนาแล้ว
- ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือชนบทต้องเดินทางไกลและเสียค่าใช้จ่ายสูงเพื่อเข้าถึงการตรวจรักษาที่จำเป็นด้วยเครื่องมือเหล่านี้
สาเหตุของความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์:
- การกระจุกตัวของบุคลากร: บุคลากรทางการแพทย์ (โดยเฉพาะแพทย์) มักจะเลือกทำงานในเมืองใหญ่หรือโรงพยาบาลที่มีความพร้อมสูงกว่า เนื่องจากมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า ค่าตอบแทนดีกว่า และมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตมากกว่า
- งบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน: การลงทุนในโรงพยาบาลขนาดใหญ่และเครื่องมือทางการแพทย์ราคาแพงมักจะทำในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านงบประมาณและบุคลากรอยู่แล้ว ทำให้เกิดการกระจุกตัว
- การขาดแรงจูงใจ: รัฐบาลอาจยังไม่มีมาตรการจูงใจที่เพียงพอที่จะดึงดูดบุคลากรให้ไปทำงานในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล (เช่น ค่าตอบแทนพิเศษ, สวัสดิการ, โอกาสก้าวหน้า)
- ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์: บางพื้นที่เป็นพื้นที่ห่างไกล การเดินทางยากลำบาก ทำให้การจัดส่งบุคลากรและเครื่องมือเป็นไปได้ยาก
ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์:
- คุณภาพชีวิต: ประชาชนในพื้นที่ด้อยโอกาสมีคุณภาพชีวิตที่ด้อยกว่า เนื่องจากเข้าถึงบริการสุขภาพได้ไม่ดีนัก อาจเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หรือต้องทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่รักษาได้
- โอกาสทางเศรษฐกิจ: สุขภาพที่ไม่ดีส่งผลต่อความสามารถในการทำงานและสร้างรายได้ ทำให้บุคคลและครัวเรือนไม่สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
- ความไม่เท่าเทียม: ตอกย้ำความไม่เท่าเทียมในสังคม และสร้างความรู้สึกไม่เป็นธรรมให้กับประชาชน
ภาพนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ แต่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง "คุณภาพ" ของบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายตัวของบุคลากรและเครื่องมือ ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขครับ
Q: ช่วยอธิบายเรื่องระบบบำนาญ/บำเน็จ ที่เป็นผลมาจากความเลื่อมล้ำ - พร้อมภาพสไลด์สวัสดิการทางด้านสุขภาพที่มีอยู่ในไทย
ภาพนี้อธิบายถึง "ความเหลื่อมล้ำด้านสถานะทางสังคมและการคุ้มครอง" โดยยกตัวอย่างจาก "ระบบบำนาญของประเทศไทย หลังปี พ.ศ. 2552 - ปัจจุบัน" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบบำนาญในประเทศไทยมีความหลากหลายและซับซ้อน ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการคุ้มครองและผลประโยชน์ที่จะได้รับ
แผนภาพแบ่งแรงงานออกเป็นสองภาคส่วนใหญ่:
1. ภาคทางการ (1/3 ของกำลังแรงงาน):
- หมายถึง กลุ่มแรงงานที่ทำงานในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานอย่างเป็นทางการ มีสัญญาจ้างงาน และเข้าสู่ระบบสวัสดิการของรัฐ
- ระบบบำนาญ/บำเหน็จที่รองรับ:
- กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข. - Contributory System, DC=Defined Contribution): เป็นระบบที่ข้าราชการสมทบเงินเข้ากองทุนร่วมกับรัฐบาล ผลประโยชน์ที่ได้รับขึ้นอยู่กับเงินที่สมทบและผลตอบแทนการลงทุน
- บำนาญ/บำเหน็จข้าราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (NCS=Non-Contributory System, DB=Defined Benefits): เป็นระบบบำนาญแบบเก่าที่ข้าราชการจะได้รับผลประโยชน์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (ตามเงินเดือนและอายุราชการ) โดยไม่ต้องสมทบเงิน (หรือสมทบน้อยมาก) ซึ่งเป็นภาระของรัฐบาล
- บำนาญ/บำเหน็จรัฐวิสาหกิจ (NCS, DB): คล้ายกับบำนาญข้าราชการแบบเก่า คือรับผลประโยชน์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
2. ภาคไม่เป็นทางการ (2/3 ของกำลังแรงงาน):
- หมายถึง กลุ่มแรงงานส่วนใหญ่ที่ทำงานนอกระบบราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงแรงงานในภาคเกษตรกรรม แรงงานอิสระ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือแรงงานในสถานประกอบการขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
- ระบบบำนาญ/บำเหน็จที่รองรับ:
- กองทุนประกันสังคม (ม.33 - Contributory System, DC=Defined Contribution): เป็นระบบที่ลูกจ้างภาคเอกชนสมทบเงินเข้ากองทุนร่วมกับนายจ้างและรัฐบาล ผลประโยชน์บำนาญขึ้นอยู่กับเงินสมทบและผลตอบแทนการลงทุน (เป็นระบบออมทรัพย์แบบมีส่วนร่วม)
- เพิ่มสิทธิประโยชน์ มาตรา 40: เป็นการขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคมไปยังแรงงานนอกระบบ ให้สามารถส่งเงินสมทบเองได้ เพื่อได้รับสิทธิประโยชน์บางอย่าง รวมถึงเงินบำนาญ (แต่มีข้อจำกัดและเงื่อนไข)
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช. - Contributory System, DC=Defined Contribution): เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมภาคสมัครใจสำหรับแรงงานนอกระบบ ให้สามารถสมทบเงินออมเพื่อบำนาญได้ โดยมีรัฐบาลสมทบเพิ่มเติมบางส่วน
ความเหลื่อมล้ำในระบบบำนาญ/บำเหน็จที่เป็นผลมาจากสถานะทางสังคม:
จากภาพนี้ เราเห็นความเหลื่อมล้ำหลักๆ ดังนี้:
-
ความแตกต่างของผลประโยชน์ (Benefit Disparity):
- กลุ่มราชการแบบเก่า (DB): ได้รับผลประโยชน์บำนาญที่ "กำหนดไว้ล่วงหน้า" (Defined Benefits) ซึ่งมักจะค่อนข้างแน่นอนและมีอัตราที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับเงินเดือนสุดท้าย ซึ่งเป็นภาระงบประมาณของรัฐโดยตรง (NCS) นี่เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงสูงสุดและได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุด
- กลุ่ม กบข. และประกันสังคม ม.33 (DC): ผลประโยชน์ที่ได้รับขึ้นอยู่กับเงินสมทบและผลตอบแทนการลงทุน (Defined Contribution) ซึ่งมีความไม่แน่นอนมากกว่า และอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพหลังเกษียณ หากเงินสมทบไม่มากพอหรือผลตอบแทนไม่ดีนัก
- กลุ่มแรงงานนอกระบบ (ม.40 และ กอช.): เป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เพราะเป็นการออมภาคสมัครใจ (หรือไม่บังคับเท่าสองกลุ่มแรก) และได้รับสิทธิประโยชน์น้อยกว่ามาก ทำให้ความมั่นคงในวัยเกษียณต่ำ
-
การเข้าถึงและความครอบคลุม (Access and Coverage):
- ภาคทางการ (1/3 ของกำลังแรงงาน): ได้รับความคุ้มครองจากระบบบำนาญอย่างชัดเจนและมีโครงสร้างที่มั่นคงกว่า
- ภาคไม่เป็นทางการ (2/3 ของกำลังแรงงาน): เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของกำลังแรงงาน แต่มีความคุ้มครองจากระบบบำนาญที่ยังไม่สมบูรณ์ หรือเป็นการเข้าร่วมภาคสมัครใจ ซึ่งหมายความว่าคนจำนวนมากในกลุ่มนี้อาจไม่มีเงินบำนาญรองรับในวัยชรา
-
ความแตกต่างของหลักประกัน (Security of Benefits):
- ระบบ DB (Defined Benefits): ภาระตกอยู่กับรัฐบาลหรือนายจ้าง ซึ่งมีความมั่นคงสูง (ตราบเท่าที่รัฐบาลมีงบประมาณ)
- ระบบ DC (Defined Contribution): ภาระและความเสี่ยงจากการลงทุนตกอยู่กับผู้ประกันตน หากตลาดทุนผันผวนหรือบริหารจัดการกองทุนไม่ดี อาจทำให้เงินบำนาญที่ได้รับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
-
แนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไป:
- ข้อความ "เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจาก "อัตราเดียว" → "หลายอัตราตามอายุ" และ "NCS, DB" แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อพยายามลดความเหลื่อมล้ำและปรับให้สอดคล้องกับงบประมาณที่จำกัด แต่ในภาพรวมยังคงมีความแตกต่างอยู่มาก
สรุปว่าความเหลื่อมล้ำในระบบบำนาญ/บำเหน็จเกิดจากอะไร:
- ความแตกต่างของระบบการจ้างงาน: การแบ่งแยกระหว่างแรงงานในระบบ (ราชการ/เอกชน) และแรงงานนอกระบบ ทำให้มีระบบบำนาญที่แตกต่างกัน
- นโยบายและสิทธิประโยชน์ในอดีต: ระบบบำนาญข้าราชการแบบเดิม (DB) ให้ผลประโยชน์ที่สูงกว่าและเป็นภาระของรัฐโดยตรง ซึ่งสร้างความไม่เท่าเทียมเมื่อเทียบกับระบบประกันสังคม (DC)
- การออมและการลงทุนของบุคคล: ผลประโยชน์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการสมทบเงินและผลตอบแทนการลงทุน ซึ่งแรงงานนอกระบบอาจขาดความสามารถในการออมหรือการเข้าถึงช่องทางการลงทุน
- การขาดความครอบคลุมที่เพียงพอ: แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ในภาคไม่เป็นทางการ และระบบบำนาญที่รองรับยังไม่ทั่วถึงและไม่บังคับ ทำให้คนจำนวนมากเสี่ยงที่จะไม่มีเงินใช้ในวัยเกษียณ
ความเหลื่อมล้ำในระบบบำนาญนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงในวัยเกษียณและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย และเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดภาระทางสังคมในระยะยาว.
Q: ทำไม prediction ในปี 2050 จะมีจำนวนผู้สูงอายุเยอะขึ้นในแต่ละทวีป
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึง "ความสำคัญของการศึกษาประเด็นสังคมสูงวัย" และระบุว่าเป็น "ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก" โดยมีแผนที่โลกที่แสดงการคาดการณ์สัดส่วนประชากรสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ในปี 2050
คำอธิบายแผนที่โลก (การคาดการณ์ปี 2050):
- สีที่เข้มขึ้น (ส้มแดงถึงแดงเข้ม) แสดงถึงสัดส่วนประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่สูงขึ้น
- 0-9% (สีอ่อนสุด): สัดส่วนผู้สูงอายุต่ำ
- 10-19%: สัดส่วนผู้สูงอายุระดับปานกลาง
- 20-29%: สัดส่วนผู้สูงอายุสูงขึ้น
- 30% or over (สีแดงเข้มสุด): สัดส่วนผู้สูงอายุสูงมาก
จากแผนที่ เราจะเห็นว่าในปี 2050 เกือบทุกทวีป โดยเฉพาะยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออก (รวมถึงไทย) และบางส่วนของอเมริกาใต้ จะมีสัดส่วนผู้สูงอายุที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (สีเข้มขึ้น)
ทำไมการคาดการณ์ในปี 2050 จึงมีจำนวนผู้สูงอายุเยอะขึ้นในแต่ละทวีป (ทั่วโลก)?
การเพิ่มขึ้นของจำนวนและสัดส่วนผู้สูงอายุทั่วโลก เป็นผลมาจากกระบวนการ "การเปลี่ยนผ่านทางประชากร (Demographic Transition)" ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศและภูมิภาค ซึ่งมี 2 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนปรากฏการณ์นี้:
-
อัตราการเกิดลดลง (Declining Birth Rates):
- การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม: เมื่อประเทศพัฒนาขึ้น การเข้าถึงการศึกษาเพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะในสตรี), ค่าครองชีพสูงขึ้น, การเลี้ยงดูบุตรมีต้นทุนสูงขึ้น คู่รักจึงมีแนวโน้มที่จะมีบุตรน้อยลง
- การเข้าถึงการวางแผนครอบครัว: การเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและนโยบายส่งเสริมการวางแผนครอบครัวที่แพร่หลาย ทำให้คู่รักสามารถควบคุมจำนวนบุตรได้ตามที่ต้องการ
- การเปลี่ยนแปลงค่านิยม: ค่านิยมในการมีขนาดครอบครัวเล็กลง, การให้ความสำคัญกับอาชีพและชีวิตส่วนตัว, การแต่งงานช้าลง หรือการเลือกที่จะไม่มีบุตรเลย กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในหลายสังคมทั่วโลก
- ผลกระทบ: การมีเด็กเกิดใหม่น้อยลง ทำให้ "ฐาน" ของพีระมิดประชากรแคบลง ส่งผลให้สัดส่วนของผู้สูงอายุในประชากรโดยรวมสูงขึ้นตามสัดส่วน (เพราะมีเด็กน้อยลงไปหาร)
-
อัตราการตายลดลง และอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น (Declining Death Rates and Increasing Life Expectancy):
- ความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข: การค้นพบยาปฏิชีวนะ, วัคซีน, การรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ, การผ่าตัด และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทำให้ผู้คนมีชีวิตรอดจากโรคที่เคยเป็นอันตรายถึงชีวิตได้มากขึ้น
- การปรับปรุงสุขอนามัยและโภชนาการ: การเข้าถึงน้ำสะอาด, ระบบสุขาภิบาลที่ดีขึ้น, โภชนาการที่สมบูรณ์ขึ้น และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ทำให้สุขภาพโดยรวมของประชากรดีขึ้นและมีอัตราการตายลดลง
- ลดอัตราการตายของทารกและเด็ก: การพัฒนาด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะการดูแลแม่และเด็ก ทำให้เด็กมีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น และสามารถเติบโตไปสู่วัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุได้มากขึ้น
- ผลกระทบ: ผู้คนมีชีวิตยืนยาวขึ้นไปถึงวัยสูงอายุมากขึ้น ทำให้ "ยอด" ของพีระมิดประชากรขยายตัวออก และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนและสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
สรุป:
การคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในแต่ละทวีปทั่วโลกนั้น เกิดจากการที่ประเทศต่างๆ ผ่านกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางประชากร โดยมีปัจจัยหลักคือ อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็ว (ทำให้มีเด็กน้อยลง) และ อัตราการตายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้น (ทำให้มีผู้สูงอายุมากขึ้น) การรวมกันของสองปัจจัยนี้ส่งผลให้โครงสร้างประชากรทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะ "สูงวัย" ขึ้นอย่างชัดเจนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นักประชากรศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่จะตามมา
Q: อธิบายตรงนี้ให้หน่อย และประเทศไหนที่เข้า super aged society -- ภาพอธิบายถึงระดับของสังคมสูงวัย
ภาพนี้อธิบายถึง "สังคมสูงวัยคืออะไร?" โดยแบ่งการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยออกเป็น 3 ระดับ ตามสัดส่วนของประชากรสูงอายุในประเทศ ซึ่งเป็นเกณฑ์สากลที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดขึ้น
คำอธิบายแต่ละระดับของสังคมสูงวัย:
-
สังคมสูงวัย (Aging Society):
- เกณฑ์:
- มีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด
- หรือมีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 7% ของประชากรทั้งหมด
- ลักษณะ: เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่สังคมสูงวัย แสดงว่าโครงสร้างประชากรกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เริ่มมีนัยสำคัญ
- เกณฑ์:
-
สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged Society):
- เกณฑ์:
- มีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด
- หรือมีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด
- ลักษณะ: เป็นขั้นที่สังคมสูงวัยมากขึ้นอย่างชัดเจน จำนวนและสัดส่วนผู้สูงอายุมีผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมอย่างเห็นได้ชัด ความท้าทายด้านสวัสดิการ สุขภาพ และแรงงานเริ่มปรากฏขึ้น
- เกณฑ์:
-
สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society):
- เกณฑ์:
- มีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด
- ลักษณะ: เป็นขั้นสูงสุดของสังคมสูงวัย ซึ่งแสดงว่าประเทศนั้นมีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ความท้าทายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังคมสูงวัยจะรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ภาระด้านสวัสดิการผู้สูงอายุ, การขาดแคลนแรงงาน, การดูแลสุขภาพระยะยาว, และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
- เกณฑ์:
ประเทศไหนที่เข้าสู่ Super-aged Society แล้วบ้าง?
ประเทศส่วนใหญ่ที่เข้าสู่สถานะ Super-aged Society แล้วในปัจจุบัน มักเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และผ่านกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางประชากรมานานแล้ว มีอัตราการเกิดที่ต่ำมากและอายุขัยเฉลี่ยที่สูงมาก
ตัวอย่างประเทศที่เข้าสู่ Super-aged Society แล้ว (หรือกำลังจะเข้าสู่ในไม่ช้าอย่างแน่นอน) ได้แก่:
- ญี่ปุ่น: เป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่เข้าสู่ Super-aged Society และยังคงเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลก
- เยอรมนี: เป็นอีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่เข้าสู่สถานะนี้
- อิตาลี: มีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงมากเช่นกันในยุโรปใต้
- โปรตุเกส: มีแนวโน้มสูงวัยอย่างรวดเร็ว
- กรีซ: เผชิญกับภาวะสูงวัยอย่างรุนแรง
- ฟินแลนด์: เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุสูง
- แคนาดา: เป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่ หรือเข้าสู่ Super-aged Society แล้ว
- เกาหลีใต้: คาดว่าจะเข้าสู่ Super-aged Society อย่างรวดเร็วที่สุดในโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า (หรืออาจจะเข้าสู่แล้วในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับข้อมูลล่าสุด)
- สเปน: มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
- ฝรั่งเศส: มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่สูง
- สวีเดน: มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่สูง
สถานการณ์ของประเทศไทย:
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัย" (Aging Society) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) และก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์" (Aged Society) ในปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) และคาดการณ์ว่าจะก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัยระดับสุดยอด" (Super-aged Society) ภายในปี พ.ศ. 2575 (ค.ศ. 2032) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในอดีต (ดังที่เราได้พูดคุยกันเรื่อง "ไทยแก่ก่อนรวย") ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงและเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม และสวัสดิการครับ
Q: ช่วยอธิบายภาพนี้ให้หน่อย โดยเฉพาะ 2 มาตรวัดตัวหลัง มีภาพสไลด์ประกอบ
Comments
Post a Comment