[NotebookLM] - วิกฤตประเทศไทย และบทบาทมหาวิทยาลัยไทย

Using NotebookLM to extract the information and producing the podcast.

Original YouTube:   • เสวนาคลังสมอง-คลังปัญญาสยาม (กิจกรรมพิเศษ 3)  

Summary

This academic guide, stemming from the "Siamese Think Tank" forum, comprehensively examines the multifaceted crises facing Thailand—encompassing economic, political, social, and ethical challenges—and proposes a critical role for Thai universities in national problem-solving. It encourages readers to review past university contributions, identify existing limitations like "siloed" operations and short-term administrative visions, and explore innovative solutions such as "Non-Degree Programs," fostering "Human Capital," and emphasizing ethical development. The guide’s purpose is to facilitate a deeper understanding of these complex issues through structured topics, reflective questions, and a detailed quiz with answers, ultimately advocating for universities to transform into a "University of Society" that actively drives tangible "impact" for the nation.

Thai universities face multifaceted critiques, often accused of prioritizing "degree printing" for revenue over fostering "complete human beings" with strong ethics and social consciousness. Key challenges include outdated teaching methods with instructors lacking practical experience, slow approval processes for new curricula, and siloed administrative structures that hinder interdisciplinary problem-solving. Furthermore, universities struggle to translate extensive research into tangible societal or economic benefits and often lack significant impact on government policy, despite possessing expert knowledge. Compounding these issues are a lack of urgency regarding declining student populations and a limited embrace of lifelong learning, alongside internal concerns about transparency and corruption. Despite these significant hurdles, the source concludes that universities "have not yet failed" and retain considerable public trust, positioning them as vital institutions for guiding the nation through crises.

เอกสารสรุปประเด็นสำคัญ (Briefing Document)

หัวข้อ: "ประเทศไทยในวิกฤต: บทบาทของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขและสร้างอนาคต"

ที่มา: สรุปการเสวนา "คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม (กิจกรรมพิเศษ 3)"

ภาพรวมการเสวนา: การเผชิญหน้ากับวิกฤตและบทบาทของมหาวิทยาลัย

การเสวนา "คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม" ได้รวบรวมนายกสภามหาวิทยาลัยและผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงจากหลากหลายสถาบันมาร่วมกันสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับ "Thailand in crisis" โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ แทนที่จะแสวงหาคำตอบที่ตายตัว การเสวนาครั้งนี้เป็น "Open Forum" ที่ไม่มีวาระที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สะท้อนความตระหนักร่วมกันถึงสถานการณ์วิกฤตที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ และความคาดหวังว่ามหาวิทยาลัยในฐานะ "คลังสมอง" และ "ศูนย์กลางแห่งปัญญาและนวัตกรรมของชาติ" จะสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการหาทางออกและสร้างความหวังให้กับสังคม

ประเด็นหลักที่ถูกยกมาในการเสวนาครั้งนี้คือการที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตที่หลากหลายและซับซ้อน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วิกฤตศรัทธา" ที่เป็นรากฐานของปัญหาอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้สังคมอ่อนแอและขาดความเชื่อมั่น และมีการเสนอว่าในภาวะที่รัฐบาลอาจไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้เต็มที่ มหาวิทยาลัยควรเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

1. วิกฤตการณ์หลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

ผู้ร่วมเสวนาได้ลิสต์ประเด็นวิกฤตและปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยไว้มากมาย โดยสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้:

  • วิกฤตเศรษฐกิจ:
    • "Trump Effect" และ Trade War: การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (36% จากทรัมป์) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทย โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กปรับตัวไม่ทันและล้มหายตายจากไป ("SE") การค้าระหว่างประเทศที่บีบรัดลง และการที่สินค้าจีนถูกระบายสู่ตลาดโลกมากขึ้น รวมถึงประเทศไทย
    • หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ: หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของ GDP และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การพักหนี้ไม่ได้แก้ปัญหา แต่กลับทำให้ปัญหาแย่ลง ปัญหาหนี้นอกระบบรุนแรงขึ้นสำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน
    • การเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ: เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมานานนับสิบปี การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ การลงทุนจากต่างประเทศไม่เข้ามา การลงทุนภาครัฐไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชัดเจน
    • การท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวตามคาด: โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่กลับมาตามเป้า ทำให้ธุรกิจที่ลงทุนเพื่อรองรับได้รับผลกระทบ
    • ตลาดแรงงาน: แรงงานคุณภาพต่ำ ค่าแรงถูก และขาดการลงทุนในมนุษย์
  • วิกฤตสังคมและคุณภาพชีวิต:
    • Generation Gap: ช่องว่างและความขัดแย้งระหว่างวัย ความเชื่อและค่านิยมที่แตกต่างกันของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและขาดความหวังต่อสถาบันเดิมๆ ทำให้คนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่ออกเรือนและมีบุตร
    • สังคมสูงวัย (Aging Society): ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำมาก (1.16 เท่านั้น) คาดว่าจะเท่าเกาหลี (0.7) ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทำให้ขาดแคลนกำลังแรงงานในอนาคต ระบบประกันสังคมและสุขภาพกำลังจะล้มเหลว
    • ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม: ช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างกลุ่มคนต่างๆ
    • ความเสื่อมถอยของคุณธรรมและค่านิยมร่วม: สังคมขาด "common good" ทุกคนดิ้นรนหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ความดี ความถูกต้อง และความเป็นธรรมกลายเป็นสิ่งล้าสมัย ทำให้เกิดการแบ่งขั้ว แบ่งสี และความขัดแย้งในสังคม
    • ปัญหาด้านสุขภาพจิตและการเสพติด: รวมถึงการเสพติดเทคโนโลยี และปัญหาข้อมูลเท็จ (Fake News)
    • คุณภาพการศึกษาและคน: คุณภาพคนยังน่ากังวล คุณภาพนักศึกษาลดลง และระบบราชการขาดความโปร่งใส
  • วิกฤตด้านการเมืองและการปกครอง:
    • เสถียรภาพทางการเมืองและกฎหมาย: ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบหลายด้าน การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งทำให้ขาดความต่อเนื่องของนโยบาย งบประมาณไม่ผ่าน
    • Rule of Law และ Good Governance: การขาดหลักนิติธรรมและความโปร่งใส ทำให้องค์กรที่ควรเป็นที่พึ่งของประชาชนเสื่อมถอยลง "ระบบความยุติธรรมในประเทศนี้ก็ล้มเหลวอีก เราไม่เห็นคนที่มีอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในระบบราชการถูกฟ้องคดีหรือติดคุก"
    • ระบบราชการที่ล้มเหลว: การโยกย้ายข้าราชการระดับสูงบ่อยครั้ง ทำให้ระบบราชการขาดหลักการและขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
  • วิกฤตภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม:
    • Climate Change และภัยธรรมชาติ: น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในภาคเหนือ องค์ความรู้ในการแก้ปัญหามีอยู่ แต่ขาดการนำไปปฏิบัติจากภาครัฐ
  • วิกฤตด้านความมั่นคง:
    • ความมั่นคงทางกายภาพและไซเบอร์: รวมถึงความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน (ภาคใต้, กัมพูชา) การคุกคามทางไซเบอร์ และความรุนแรงในครอบครัว

บทสรุปของวิกฤต: ผู้ร่วมเสวนาหลายท่านมองว่าสถานการณ์เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยใกล้เคียงกับ "รัฐที่ล้มเหลว" (Failed State) หรืออาจเป็นแล้วก็ได้ ดังที่ ดร. สุรพล พูดว่า "ประเทศไทยมันใกล้จะล้มเหลวแล้ว หรือมันล้มเหลวแล้วก็ยังไม่รู้ เพราะมันไม่มีความหวังอะไรเลย" สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "วิกฤตศรัทธา" ที่ทำให้อะไรๆ ดูแย่ลงไปหมด และยากที่จะหาทางออก

2. บทบาทและศักยภาพของมหาวิทยาลัยในการรับมือวิกฤต

แม้จะเผชิญกับวิกฤตนานาประการ แต่ผู้ร่วมเสวนามีความเชื่อมั่นว่า มหาวิทยาลัยยังคงเป็น "ความหวัง" และได้รับ "ศรัทธา" จากสังคมอยู่ แตกต่างจากสถาบันอื่นๆ ที่อาจถูกมองว่าล้มเหลวแล้ว หรือมีผลประโยชน์แอบแฝง

บทบาทที่ผ่านมาและศักยภาพ:

  • การแก้ปัญหาวิกฤตในอดีต: มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประเทศในยามวิกฤต เช่น วิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะโครงการ "1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล" ที่ลงพื้นที่ไปช่วยยกระดับอาชีพและสร้างความผูกพันกับชุมชนอย่างมาก ("1 มหาวลัย 1 ตำบล ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผมไปคุยกับชุม ชุมชน ชุมชนก็บอก เ ดี ใจครับ อาจารย์ ที่จะ อาจารย์ ลงไปช่วย เค้า เนี่ย นะ ผล ผลิต เ ทำได้ดี และ ที่ สำคัญ ที่ สุด เ บอก ว่า 1 เนี่ย เ ได้ รู้จัก อาจารย์ ครู บา อาจารย์ ที่ มี ความ รู้ จริงๆ ใน เรื่อง ของ อาชีพ ที่ เขา ทำ อยู่")
  • คลังความรู้และผู้เชี่ยวชาญ: มหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มีองค์ความรู้และผลงานวิจัยมากมาย แต่ยังขาดกลไกในการนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์จริง ("ไอ้วิกฤตอันนี้เนี่ย ทำยังไงวิกฤตที่จะเอาผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อมก็ตาม ยังเป็นคอขวดอยู่")
  • สร้างคนและสมอง: หน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยคือการสร้างคนที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม และมีทักษะที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงการดึงดูดสมองจากต่างประเทศ (Talent Acquisition)
  • เป็น "Conscious of Society" และ "Beacon of the Land": มหาวิทยาลัยควรเป็นประภาคารและเป็นสติปัญญาของสังคม ที่กล้า "เห่าดังๆ" เพื่อเตือนสติและนำทางสังคม ("ต้องช่วยกันเห่าดัง ๆ เป็น beacon of the land แต่ว่า ต้อง เห่า ดัง ๆ")

ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับบทบาทของมหาวิทยาลัย:

  1. การปรับตัวภายในมหาวิทยาลัย:
    • ลดการทำงานแบบ "ไซโล": ควรส่งเสริมการทำงานร่วมกันข้ามภาควิชาและคณะ เพื่อให้องค์ความรู้เชื่อมโยงกันและตอบโจทย์ปัญหาสังคมที่ซับซ้อน เช่น ปัญหา Climate Action ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา
    • ปรับปรุงหลักสูตรให้รวดเร็วและทันสมัย: กระบวนการอนุมัติหลักสูตรควรเร็วขึ้น เน้นหลักสูตร Non-Degree (Reskill, Upskill, New Skill) เพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    • ผลิต "อาจารย์พันธุ์ใหม่": อาจารย์ควรมีประสบการณ์ภาคปฏิบัติจริงและทำหน้าที่เป็นโค้ชมากกว่าเป็นผู้บรรยาย เพื่อให้สามารถสอนและให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
    • เน้น "Real World Impact": มหาวิทยาลัยควรเปลี่ยนเป้าหมายจากการเน้น University Ranking ไปสู่การสร้างผลกระทบที่แท้จริงต่อสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ โดยยึดหลัก Sustainable Development
  1. การทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย (Collaboration):
    • สร้าง "Flying Geese Pattern": มหาวิทยาลัยควรจับมือกันเป็นกลุ่ม (เช่น Top 20) เพื่อขับเคลื่อนในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การรับมือกับ Geopolitics ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในไทย สร้างนวัตกรรม หรือแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
    • แบ่งกลุ่มความเชี่ยวชาญ: จัดตั้ง Focal Group ตามความถนัด เช่น กลุ่มสังคม (Human Value, ความเหลื่อมล้ำ, Generation Gap), กลุ่มเศรษฐกิจ (อุตสาหกรรม, เกษตร, ตลาดใหม่), กลุ่มสิ่งแวดล้อม (น้ำ, PM 2.5), กลุ่มเทคโนโลยี (AI, Research to Innovation), กลุ่มกฎหมายและการเมือง
    • แลกเปลี่ยน Best Practice: แชร์ความรู้และประสบการณ์ในการทำหลักสูตรแบบ Multidisciplinary, Non-Degree Program, และ Research to Innovation to Market
  1. การเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่น:
    • ทำงานร่วมกับภาคเอกชน: เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม, สร้างงานและรายได้ (Income/Job Creation) ผ่านการ Reskill/Upskill/New Skill ของแรงงาน
    • เป็น "University of Society": มหาวิทยาลัยควรเป็นของสังคมอย่างแท้จริง โดยนำปัญหาของสังคมมาช่วยแก้ไขอย่างเต็มที่ และหากจำเป็นก็ดึงผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกหรือต่างประเทศมาร่วมด้วย
    • ส่งเสริม Internationalization: ดึงดูดนักศึกษาและสมองจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และพม่า เพื่อเติมเต็มกำลังคนและสมองให้กับประเทศ
    • เชื่อมโยงกับ "Young Generation": มหาวิทยาลัยควรลงไปทำงานกับนักเรียนมัธยม เพื่อใช้พลังของคนรุ่นใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านการเรียนรู้ยุคใหม่ (New Science of Learning) และ Experiential Learning
  1. ข้อเสนอเชิงนโยบาย (ถึงรัฐบาล):
    • ยกระดับการศึกษาเป็น "Economic/Industrial Policy": ไม่ใช่แค่ "Social Policy" การลงทุนในการศึกษาคือการลงทุนใน "Human Capital" และ "Industrial Policy" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ

ความท้าทายที่ยังคงมี:

    • การนำผลงานวิจัยไปใช้จริง: ยังเป็นคอขวดที่สำคัญ
    • การปรับตัวของอาจารย์: การเปลี่ยน "อาจารย์พันธุ์เก่า" เป็น "อาจารย์พันธุ์ใหม่" ที่มีประสบการณ์ภาคปฏิบัติเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
    • การ Downsizing/Merger: การควบรวมมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาลดลงเป็นเรื่องจำเป็นแต่เจ็บปวดและทำได้ยากในทางปฏิบัติ
    • งบประมาณและการพึ่งพารัฐบาล: แม้จะเน้นการพึ่งพาตนเอง แต่หลายโครงการยังคงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ

3. บทสรุปและข้อเสนอแนะเบื้องต้นสำหรับ "คลังสมอง"

    • "คลังสมอง" ในฐานะ Platform กลาง: ควรเป็นศูนย์รวมปัญญาและนวัตกรรม ที่สามารถจัดให้เกิด "Forum" และ "Dialog" อย่างต่อเนื่อง
    • นำเสนอ "ความหวัง": ในภาวะที่สังคมหมดหวัง มหาวิทยาลัยต้องเป็นผู้สร้างความหวังให้กับประชาชนโดยแสดงให้เห็นว่ายังคง "แคร์" สังคมและรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหา
    • เน้น "Action": จากการเสวนาในครั้งนี้ ควรมีการกำหนด "Next Step" ที่ชัดเจน เช่น การจัดกลุ่ม (Focal Group) มหาวิทยาลัยตามความเชี่ยวชาญ เพื่อให้แต่ละกลุ่มสามารถนำเสนอ "Best Practice" และ "Solution" ในประเด็นวิกฤตที่ตนสนใจ
    • สื่อสารกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยและสาธารณะ: ผลการหารือควรถูกสื่อสารไปยังอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับสถาบัน รวมถึงการสื่อสารต่อสาธารณะเพื่อฟื้นฟูศรัทธา

การเสวนาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการระดมสมองจากผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงของประเทศ เพื่อแสวงหาทางออกและกำหนดทิศทางให้กับมหาวิทยาลัยในการเป็นพลังสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน.


การทบทวนความเข้าใจ: วิกฤตประเทศไทยและบทบาทของมหาวิทยาลัย

คู่มือการศึกษา

คู่มือการศึกษานี้จะช่วยให้คุณทบทวนและทำความเข้าใจเนื้อหาจากการเสวนา “คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่วิกฤตการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ และบทบาทที่มหาวิทยาลัยสามารถมีได้ในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

หัวข้อหลักในการศึกษา:

  1. ภาพรวมของวิกฤตประเทศไทย:
    • ระบุและทำความเข้าใจวิกฤตการณ์ที่ผู้เสวนาได้กล่าวถึง (เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม, เทคโนโลยี, สิ่งแวดล้อม, คุณธรรม-จริยธรรม, ศรัทธา)
    • วิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบของวิกฤตแต่ละประเภท
    • ทำความเข้าใจถึงแนวคิด "Thailand in crisis" และ "failed state" ที่ถูกกล่าวถึง
  1. บทบาทของมหาวิทยาลัยในอดีตและปัจจุบัน:
    • ทบทวนบทบาทสำคัญของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขวิกฤตที่ผ่านมา (เช่น โควิด-19 และโครงการ 1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล)
    • ประเมินข้อจำกัดและปัญหาที่มหาวิทยาลัยเผชิญอยู่ในการมีบทบาทเชิงรุก (เช่น การทำงานแบบไซโล, ความล่าช้าในการอนุมัติหลักสูตร, การขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวของผู้บริหาร)
  1. ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขวิกฤตโดยมหาวิทยาลัย:
    • สำรวจแนวคิดและข้อเสนอแนะสำหรับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของมหาวิทยาลัย (เช่น การปรับตัวตามโลก, การทำงานร่วมกันระหว่างคณะ/มหาวิทยาลัย, การเน้น Non-Degree Programs, การสร้าง Human Capital, การปลูกฝังคุณธรรม-จริยธรรม)
    • ทำความเข้าใจแนวคิด "New Science of Learning" และ "Generation Power"
    • วิเคราะห์โอกาสที่เกิดจาก Geopolitics และ Fragmented Globalization สำหรับมหาวิทยาลัยไทย
    • พิจารณาบทบาทของมหาวิทยาลัยในการเป็น "University of Society" และการสร้าง "impact" ที่เป็นรูปธรรม
  1. มุมมองและข้อสังเกตของผู้ร่วมเสวนา:
    • สรุปประเด็นสำคัญและข้อสังเกตจากผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่าน (เช่น มุมมองด้านเศรษฐกิจจาก อ.ณรงค์ชัย, วิกฤตศรัทธาจาก อ.จุรีและ อ.ปิยสกล, การบริหารราชการที่ล้มเหลวจาก อ.สุรพล, โอกาสจาก geopolitics จาก อ.สุรเกียรติ, การสร้างคนและสมองจาก อ.กฤษนพงษ์, บทบาทการตรวจสอบภายในจาก อ.ชุมพล, New Science of Learning จาก อ.วิจารณ์)
    • เปรียบเทียบและหาจุดร่วม/จุดต่างในมุมมองของผู้ร่วมเสวนา

คำถามนำสำหรับการทบทวน:

  • วิกฤตใดที่ผู้เสวนากังวลมากที่สุด และเหตุผลคืออะไร?
  • มหาวิทยาลัยได้แสดงบทบาทสำคัญอะไรบ้างในการแก้ปัญหาวิกฤตที่ผ่านมา?
  • อะไรคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถมีบทบาทได้อย่างเต็มศักยภาพในปัจจุบัน?
  • หากรัฐบาลไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ มหาวิทยาลัยควรปรับบทบาทอย่างไร?
  • แนวคิด "New Science of Learning" และ "Generation Power" สามารถนำมาปรับใช้ในการแก้ไขวิกฤตได้อย่างไร?
  • การทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยมีความสำคัญอย่างไร และจะเริ่มต้นได้อย่างไร?
  • อะไรคือ "tripping point" ที่สามารถเปลี่ยนภูมิทัศน์ของการมองเรื่องการศึกษาในประเทศไทย?

แบบทดสอบ (10 ข้อ)

โปรดตอบคำถามต่อไปนี้ด้วยข้อความ 2-3 ประโยค

  1. ผู้เสวนาได้กล่าวถึง "Trump Effect" ว่าเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส อธิบายว่าวิกฤตจาก "Trump Effect" คืออะไร และโอกาสที่ซ่อนอยู่คืออะไร
  2. อธิบายแนวคิด "University of Society" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งกล่าวถึง ว่าแตกต่างจาก "University for Society" อย่างไร
  3. ปัญหาหลักของ "คุณภาพนักศึกษา" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งได้ยกขึ้นมาพูดถึงคืออะไร และเชื่อมโยงกับ "Aging Society" อย่างไร
  4. ตามที่ผู้เสวนาหลายท่านกล่าวถึง "วิกฤตศรัทธา" มีผลกระทบอย่างไรต่อสังคมไทย และเหตุใดจึงเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่น ๆ
  5. ผู้เสวนาได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของบทบาทมหาวิทยาลัยในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะโครงการใดที่ถูกเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
  6. การทำงานแบบ "ไซโล" ภายในมหาวิทยาลัยถูกกล่าวถึงว่าเป็นอุปสรรคอย่างไรในการแก้ไขปัญหาวิกฤตระดับชาติ
  7. "Generation Gap" ถูกมองว่าเป็นปัญหาอย่างไร และเหตุใดผู้เสวนาบางท่านจึงเสนอให้มองว่าเป็น "Generation Power" แทน
  8. อธิบายว่าทำไมงบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่านจึงถูกมองว่าเป็น "โหดสุด" สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจระยะสั้นของประเทศไทย
  9. ผู้เสวนาคนหนึ่งได้กล่าวถึง "Fragented Globalization" อธิบายว่าแนวคิดนี้คืออะไร และมหาวิทยาลัยไทยควรปรับตัวอย่างไรในบริบทนี้
  10. อธิบายความเห็นของผู้เสวนาที่ว่า "การศึกษา" ควรถูกมองว่าเป็น "นโยบายเศรษฐกิจ" และ "นโยบายอุตสาหกรรม" ไม่ใช่แค่ "นโยบายสังคม"

เฉลยแบบทดสอบ

  1. ผู้เสวนาได้กล่าวถึง "Trump Effect" ว่าเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส อธิบายว่าวิกฤตจาก "Trump Effect" คืออะไร และโอกาสที่ซ่อนอยู่คืออะไร วิกฤตจาก "Trump Effect" คือการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้า ทำให้สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเกษตรกรรม โอกาสที่ซ่อนอยู่คือการเป็น "PL" (เครื่องเตือนสติ) ที่ทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัว มองหาตลาดใหม่ ๆ เช่น อาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมและสร้าง "New Order" ของตนเอง
  2. อธิบายแนวคิด "University of Society" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งกล่าวถึง ว่าแตกต่างจาก "University for Society" อย่างไร "University for Society" หมายถึง มหาวิทยาลัยช่วยเหลือสังคมตามที่ตนเองมีอยู่ โดยทำงานในขอบเขตของตนเอง แต่ "University of Society" หมายถึง การที่มหาวิทยาลัยเป็น "ของสังคม" อย่างแท้จริง โดยนำปัญหาของสังคมมาช่วยแก้ไขอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งดึงผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกและต่างประเทศมาร่วมด้วยหากจำเป็น เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม
  3. ปัญหาหลักของ "คุณภาพนักศึกษา" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งได้ยกขึ้นมาพูดถึงคืออะไร และเชื่อมโยงกับ "Aging Society" อย่างไร ปัญหาหลักคือคุณภาพของนักศึกษาลดลง และมีจำนวนนักศึกษาน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากสังคมสูงวัย (Aging Society) ทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำลง (1.16 เท่า) ส่งผลให้จำนวนเด็กรุ่นใหม่ลดลง ซึ่งเป็นระเบิดเวลาในระยะยาวต่อการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศ
  4. ตามที่ผู้เสวนาหลายท่านกล่าวถึง "วิกฤตศรัทธา" มีผลกระทบอย่างไรต่อสังคมไทย และเหตุใดจึงเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่น ๆ วิกฤตศรัทธาทำให้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นและความขัดแย้งมากขึ้น ทำให้ง่ายต่อการแทรกแซงและเป็นสังคมที่อ่อนแอ การขาดความเชื่อมั่นนี้เป็นรากเหง้า เพราะเมื่อประชาชนไม่เชื่อถือสถาบันต่าง ๆ เช่น รัฐบาล ระบบยุติธรรม หรือแม้กระทั่งกันเอง ก็จะไม่มีพลังในการรวมกันเพื่อแก้ไขปัญหาใด ๆ ได้อย่างแท้จริง
  5. ผู้เสวนาได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของบทบาทมหาวิทยาลัยในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะโครงการใดที่ถูกเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โครงการที่ถูกเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมากคือ "1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล" ซึ่งเป็นโครงการที่มหาวิทยาลัยลงพื้นที่ไปช่วยยกระดับอาชีพให้ประชาชนที่กลับบ้านเกิดในช่วงโควิด-19 สร้างความผูกพันและองค์ความรู้จริงให้กับชุมชน
  6. การทำงานแบบ "ไซโล" ภายในมหาวิทยาลัยถูกกล่าวถึงว่าเป็นอุปสรรคอย่างไรในการแก้ไขปัญหาวิกฤตระดับชาติ การทำงานแบบ "ไซโล" คือการที่ภาควิชาและคณะทำงานแยกส่วนกัน ขาดการเชื่อมโยง ทำให้การพัฒนาหลักสูตรหรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและต้องใช้ความร่วมมือข้ามสาขาเป็นไปได้ยาก ทั้งที่ปัญหาในโลกจริงนั้นเชื่อมโยงกันหมด และมหาวิทยาลัยมีผู้เชี่ยวชาญในทุกด้านแต่ไม่ได้ทำงานร่วมกัน
  7. "Generation Gap" ถูกมองว่าเป็นปัญหาอย่างไร และเหตุใดผู้เสวนาบางท่านจึงเสนอให้มองว่าเป็น "Generation Power" แทน "Generation Gap" ถูกมองว่าเป็นปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ในด้านความเชื่อ ค่านิยม และวิถีชีวิต ผู้เสวนาบางท่านเสนอให้มองว่าเป็น "Generation Power" เพราะคนรุ่นใหม่มีพลังและวิธีการคิดแบบใหม่ที่สามารถเป็น "คันงัด" สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาได้ หากมีการดึงพลังนี้ออกมาใช้
  8. อธิบายว่าทำไมงบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่านจึงถูกมองว่าเป็น "โหดสุด" สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจระยะสั้นของประเทศไทย งบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่าน (ในช่วงที่เสวนา) ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2567 เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมาก การค้าขายตกต่ำและกระทบไปทั่วภาคส่วนต่าง ๆ เนื่องจากไม่มีการลงทุนภาครัฐ ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
  9. ผู้เสวนาคนหนึ่งได้กล่าวถึง "Fragmented Globalization" อธิบายว่าแนวคิดนี้คืออะไร และมหาวิทยาลัยไทยควรปรับตัวอย่างไรในบริบทนี้ "Fragmented Globalization" หมายถึง โลกาภิวัตน์ที่แตกออกเป็นส่วน ๆ ไม่ใช่ระบบการค้าโลกที่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป มหาวิทยาลัยไทยควรปรับตัวโดยการเน้นบทบาทในภูมิภาค (อาเซียน, เอเชียตะวันออก, จีน, BIMSTEC) สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศเพื่อนบ้าน และดึงดูดสมองจากประเทศเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทย
  10. อธิบายความเห็นของผู้เสวนาที่ว่า "การศึกษา" ควรถูกมองว่าเป็น "นโยบายเศรษฐกิจ" และ "นโยบายอุตสาหกรรม" ไม่ใช่แค่ "นโยบายสังคม" ผู้เสวนาเห็นว่าการศึกษามีบทบาทสำคัญมากกว่าแค่การผลิตแรงงานหรือการพัฒนาสังคมเท่านั้น แต่เป็นหัวใจของการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งหมด เพราะ "คน" คือ "Human Capital" ที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง การลงทุนในการศึกษาจึงเป็นการลงทุนในผู้ประกอบการและในศักยภาพทางเศรษฐกิจของชาติโดยตรง

คำถามเชิงเรียงความ (5 ข้อ)

  1. จากเนื้อหาการเสวนา วิกฤตการณ์ใดที่ท่านคิดว่าเป็น "ระเบิดเวลา" ที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในระยะยาว และมหาวิทยาลัยสามารถมีบทบาทเชิงรุกในการบรรเทาวิกฤตนี้ได้อย่างไรบ้าง? จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
  2. ผู้เสวนาได้กล่าวถึง "วิกฤตศรัทธา" และการที่ "ความดี ความถูกต้อง ความเป็นธรรม" กลายเป็นสิ่ง "เชย" ในสังคมไทย หากท่านเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย ท่านจะออกแบบนโยบายหรือกิจกรรมใดเพื่อปลูกฝัง "มนุษย์ที่สมบูรณ์" และฟื้นฟูคุณค่าเหล่านี้ในหมู่นิสิตนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย?
  3. บทบาทของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขวิกฤตถูกมองว่ามีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะการทำงานแบบ "ไซโล" และ "วิสัยทัศน์ 4 ปี" ของผู้บริหาร หากท่านเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย ท่านจะมีแนวทางในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ "มองยาว" และทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง "impact" ต่อประเทศได้อย่างไร?
  4. การเสวนาชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก "Technology Disruption" และ "Demographic Disruption" มหาวิทยาลัยไทยควรปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนและหลักสูตรอย่างไร เพื่อผลิต "อาจารย์พันธุ์ใหม่" และ "บัณฑิตพันธุ์ใหม่" ที่เท่าทันและสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น?
  5. ผู้เสวนาหลายท่านเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยควร "จับมือกัน" เพื่อสร้างพลังในการแก้ไขวิกฤตของชาติ จงเสนอแนวคิด "กลุ่ม Flying Geese" ของมหาวิทยาลัยไทย 3-5 แห่ง ที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านที่สำคัญของประเทศ โดยระบุว่ากลุ่มมหาวิทยาลัยใดจะทำงานร่วมกันในเรื่องใด และคาดว่าจะสร้าง "impact" ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร

อภิธานศัพท์

  • คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม: ชื่อกิจกรรมการเสวนาที่จัดขึ้นโดยสถาบันคลังสมอง ซึ่งรวบรวมผู้ทรงคุณวุฒิและนายกสภามหาวิทยาลัยมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤตของประเทศไทย
  • Thailand in crisis: แนวคิดที่สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์หลากหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และคุณธรรม
  • Man-years: หน่วยวัดปริมาณงาน โดยเทียบเท่ากับจำนวนคนที่ทำงานตลอดทั้งปี
  • Open Forum: การประชุมหรือเสวนาแบบเปิดกว้างที่ไม่มีวาระการประชุมตายตัว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
  • Trump Effect: ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีนำเข้า ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของไทย
  • หนี้ครัวเรือน (Household Debt): หนี้สินของภาคครัวเรือน ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข
  • Generation Gap: ช่องว่างระหว่างวัยในด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และวิถีชีวิต ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในสังคม
  • Climate Change: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง และปัญหา PM 2.5
  • ESG (Environmental, Social, and Governance): แนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นแนวทางที่ภาคเอกชนเริ่มนำมาใช้
  • Supply Chain: ห่วงโซ่อุปทาน การเชื่อมโยงการผลิตและการขนส่งสินค้า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
  • Trade War: สงครามการค้า การพิพาททางการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ ผ่านการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษี
  • China Flooding: การหลั่งไหลของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดโลกและประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถระบายไปยังสหรัฐฯ ได้มากนัก
  • AI (Artificial Intelligence): ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อทุกวงการ ทั้งธุรกิจ การศึกษา และภาครัฐ
  • Commercialization: การนำผลงานวิจัยหรือนวัตกรรมไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มและสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
  • Aging Society: สังคมสูงวัย ภาวะที่ประชากรสูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานและโครงสร้างทางสังคม
  • ภาวะการเจริญพันธุ์ (Fertility Rate): อัตราการเกิดของประชากร ซึ่งประเทศไทยมีอัตราต่ำและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • Good Governance: ธรรมาภิบาล หลักการบริหารจัดการที่ดี เน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และนิติธรรม
  • Rule of Law: หลักนิติธรรม การปกครองโดยกฎหมายและหลักการยุติธรรม
  • Internationalization: การเป็นสากล การปรับตัวให้เข้ากับบริบทและความร่วมมือระหว่างประเทศ
  • โรคอุบัติใหม่ (Emerging Diseases): โรคติดเชื้อที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหรืออุบัติซ้ำ เช่น โควิด-19
  • คลัง (Khlang): หมายถึง ขุมทรัพย์ หรือแหล่งรวมสิ่งมีค่า ในบริบทนี้คือ แหล่งรวมปัญญา
  • 1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล: โครงการของรัฐบาลที่ให้มหาวิทยาลัยลงพื้นที่ช่วยพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
  • โคก หนอง นา โมเดล: รูปแบบการบริหารจัดการพื้นที่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
  • Rational Expectation: การคาดการณ์อย่างมีเหตุผล โดยอิงจากข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้พฤติกรรมทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป เช่น การประหยัดเงินเมื่อคาดว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง
  • Micro Level: ระดับจุลภาค ในที่นี้หมายถึงปัญหาในระดับย่อย ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล หรือประสิทธิภาพของรัฐบาล
  • กับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle-Income Trap): ภาวะที่ประเทศไม่สามารถก้าวพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูงได้
  • ไซโล (Silo): โครงสร้างการทำงานที่แต่ละหน่วยงานหรือแผนกทำงานแยกจากกัน ขาดการประสานงาน
  • ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Inequality): ช่องว่างหรือความไม่เท่าเทียมกันในด้านรายได้ โอกาส และคุณภาพชีวิตในสังคม
  • Geopolitics: ภูมิรัฐศาสตร์ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภูมิศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ
  • Technology Disruption: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจและวิถีชีวิต
  • Demographic Disruption: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือการลดลงของประชากรวัยแรงงาน
  • Environmental Disruption: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ และมลพิษ
  • Mitigation: การบรรเทาผลกระทบ การลดความรุนแรงของปัญหา
  • Adaptation: การปรับตัว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือระบบเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
  • Carbon Credit: กลไกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยอนุญาตให้บริษัทหรือประเทศต่าง ๆ ซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยคาร์บอน
  • Non-Degree Programs: หลักสูตรที่ไม่ใช่ปริญญา เช่น หลักสูตรระยะสั้นเพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะทาง
  • Reskill/Upskill/New Skill: การพัฒนาทักษะใหม่ (Reskill), การเพิ่มพูนทักษะที่มีอยู่ (Upskill), และการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต (New Skill)
  • Humanism: มนุษยนิยม แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี คุณค่า และศักยภาพของมนุษย์
  • Tripping Point: จุดเปลี่ยน หรือจุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
  • Bottom Up: การทำงานจากระดับล่างขึ้นสู่ระดับบน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่หรือระดับปฏิบัติการ
  • Flying Geese Pattern: รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่ประเทศผู้นำจะถ่ายทอดเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมให้กับประเทศผู้ตาม
  • BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation): กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคนิคในภูมิภาคอ่าวเบงกอล
  • Benchmarking: การเปรียบเทียบและเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์กรอื่น
  • Chomsky, Noam: นักภาษาศาสตร์ นักปรัชญา และนักวิจารณ์สังคมและการเมืองชาวอเมริกัน ผู้มีอิทธิพลทางความคิดสูง
  • Experiential Learning: การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงหรือการลงมือปฏิบัติ
  • University for Society vs. University of Society: มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม (ทำเพื่อสังคมในขีดจำกัด) เทียบกับ มหาวิทยาลัยของสังคม (เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่)
  • KPI (Key Performance Indicator): ตัวชี้วัดผลงานหลัก
  • SDG (Sustainable Development Goals): เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
  • Merger: การรวมกิจการ การรวมมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

บทบาทนายกสภามหาวิทยาลัย: เสาหลักยามวิกฤตชาติ

จากบทสนทนานี้ บทบาทและหน้าที่ของนายกสภามหาวิทยาลัยนั้นมีความสำคัญและหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวิกฤตการณ์ระดับชาติ และมักถูกมองว่าเป็นผู้ที่มี ประสบการณ์และภูมิปัญญาอันล้ำค่า [1, 2] หน้าที่หลักของนายกสภามหาวิทยาลัยสามารถสรุปได้ดังนี้:

• กำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาวและทิศทางของประเทศ: นายกสภามหาวิทยาลัยถูกมองว่าเป็นผู้ที่ควรมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล ("มองยาว" หรือ "foresightedness") ซึ่งแตกต่างจากอธิการบดีและคณบดีที่มีวาระเพียง 4-8 ปี [3, 4] พวกเขามีบทบาทในการกำหนดทิศทางระยะยาวให้กับมหาวิทยาลัยเพื่อตอบโจทย์ปัญหาของประเทศในภาพรวม [3]

• เป็นคลังสมองและศูนย์รวมปัญญาของชาติ: พวกเขาถูกระดมให้มาเป็นส่วนหนึ่งของ "คลังสมอง-คลังปัญญา" เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ "Thailand in crisis" และระบุแนวทางแก้ไข [1, 2, 5] มหาวิทยาลัย ซึ่งนำโดยนายกสภา ถูกมองว่าเป็นแหล่งรวมปัญญาและนวัตกรรมที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ [6]

• ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้เกิดผลกระทบเชิงประจักษ์ (Real World Impact): มีการเน้นย้ำว่ามหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญกับ "Real World Impact" มากกว่าแค่ University Ranking โดยมุ่งสร้างผลกระทบที่แท้จริงต่อสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน [6] รวมถึงการลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนในการแก้ปัญหาและพัฒนาอาชีพ [7-10]

• ส่งเสริมการร่วมมือและสร้างพลังงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างมหาวิทยาลัย: นายกสภามหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ (เช่น จุฬาฯ มหิดล ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่) เพื่อรวมจุดแข็ง แบ่งปันทรัพยากร และสร้างพลังงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาของประเทศ [10, 11]

• เป็นผู้ส่งเสียงแทนมหาวิทยาลัยและสังคม: มีความคาดหวังว่ามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะคณะเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญ ควรมีบทบาทที่ชัดเจนในการให้ข้อเสนอแนะและวิเคราะห์สถานการณ์สำคัญของชาติแก่รัฐบาล ("เห่าดังๆ" เป็น "beacon of the land") เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมุมมองจากภาควิชาการมากนัก [3, 8]

• ปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาทุนมนุษย์: บทบาทของนายกสภามหาวิทยาลัยครอบคลุมถึงการเร่งปรับตัวของมหาวิทยาลัยให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก [12] รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตรให้รวดเร็วขึ้น เน้นโปรแกรมที่ไม่ใช่ปริญญา (reskill, upskill, new skill) [12] และการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอน โดยพัฒนาให้อาจารย์เป็น "โค้ช" ที่มีประสบการณ์ภาคปฏิบัติ [13]

• ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และคุณค่าความเป็นมนุษย์: นายกสภามหาวิทยาลัยตระหนักถึงวิกฤตการณ์ทางด้านความเชื่อมั่น คุณธรรม และจริยธรรมในสังคม [6, 14-16] และเห็นว่ามหาวิทยาลัยมีหน้าที่สำคัญในการสร้าง "มนุษย์ที่สมบูรณ์" ซึ่งมีคุณค่า เคารพในศักดิ์ศรีของมนุษย์ และมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม โดยเน้นการพัฒนา "คาแรคเตอร์" ของคนไทยให้มีความ Proactive, Prosocial, Discipline, และ Determination [15, 17, 18]

• สร้างความหวังและศรัทธาให้กับสังคม: ในสถานการณ์ที่หลายสถาบันเผชิญกับ "วิกฤตศรัทธา" มหาวิทยาลัยยังคงเป็นสถาบันที่ได้รับความเชื่อมั่นจากสังคมและสามารถเป็นแหล่งของความหวังได้ [16, 19-21] นายกสภามหาวิทยาลัยจึงมีบทบาทในการแสดงออกถึงความห่วงใยและความรับผิดชอบต่อสังคม [21]

• ส่งเสริมความเป็นอิสระและลดการพึ่งพารัฐบาล: นายกสภามหาวิทยาลัยเห็นว่ามหาวิทยาลัยสามารถดำเนินงานและแก้ไขปัญหาได้เองในหลายๆ เรื่อง โดยไม่จำเป็นต้องรอการสนับสนุนจากรัฐบาลเสมอไป เนื่องจากมีทรัพยากรและศักยภาพเพียงพอ [22, 23]

• ดูแลธรรมาภิบาลและการตรวจสอบภายใน: มีการพูดถึงบทบาทของสภาในการตรวจสอบผลการดำเนินงานของฝ่ายบริหารให้ครอบคลุมถึง Performance Audit นอกเหนือจาก Financial Audit เพื่อป้องกันการทุจริตในองค์กร [24]

• ส่งเสริมการศึกษาให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม: มีความเห็นว่านโยบายการศึกษาไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่นโยบายทางสังคมเท่านั้น แต่ควรถูกยกระดับให้เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (economic policy and industrial policy) เนื่องจากคนคือหัวใจของการออกแบบนโยบายและการพัฒนาทั้งหมด [20, 25]

โดยสรุป นายกสภามหาวิทยาลัยถูกมองว่าเป็น ผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่สามารถนำพาและประสานพลังของมหาวิทยาลัยทั้งในด้านองค์ความรู้ ทรัพยากร และบุคลากร เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ระดับชาติ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา และฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความหวังในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ภาครัฐอาจมีข้อจำกัดในการดำเนินงาน [4, 19, 26]
ความท้าทายและวิกฤตของมหาวิทยาลัยไทย
จากข้อมูลในแหล่งที่มาและประวัติการสนทนาของเรา มหาวิทยาลัยมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งจากภายในและภายนอก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่สถาบันเหล่านี้กำลังเผชิญ:
• เน้นการเป็น "โรงพิมพ์ปริญญาบัตร" มากเกินไป แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะกล่าวถึงการสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่หลายแห่งกลับถูกมองว่าเน้นการผลิตปริญญาบัตรเพื่อหารายได้ และเป็นไปตามกลไกตลาดของผู้ซื้อและผู้ขาย [1] สิ่งนี้ทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของสังคมได้ [1]
• ขาดการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามหาวิทยาลัยสร้างหลักสูตรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยมองข้ามภาพรวมใหญ่ของการสร้าง "มนุษย์ที่สมบูรณ์" ที่มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึก [2, 3] การเน้นเพียงการผลิตบัณฑิตให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานทำให้นักศึกษาขาด "คุณค่าความเป็นมนุษย์" และความเคารพในผู้อื่น [3, 4]
• การบริหารจัดการแบบไซโลและความล่าช้า
    ◦ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ยังคงทำงานในรูปแบบ "ไซโล" แยกภาควิชาและคณะออกจากกัน [5] ทำให้การเชื่อมโยงความรู้ข้ามสาขาวิชาเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ทำได้ยาก [5]
    ◦ การอนุมัติหลักสูตรใหม่เป็นไปอย่าง "ล่าช้ามาก" ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว [5]
    ◦ ผู้บริหารระดับอธิการบดีและคณบดีมักมี "วิสัยทัศน์ที่จำกัดเพียง 4 ปี" ทำให้ขาดการวางแผนระยะยาวที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ [1]
• วิธีการเรียนการสอนและอาจารย์แบบเก่า
    ◦ มีการกล่าวถึงความต้องการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ แต่ขาดการผลิต "อาจารย์พันธุ์ใหม่" [6, 7] โดยอาจารย์ยังคงเน้นการบรรยาย (lecturer) แทนที่จะเป็นโค้ช (coach) หรือที่ปรึกษา [6]
    ◦ อาจารย์หลายท่าน "ขาดประสบการณ์ในภาคปฏิบัติจริง" ทำให้การเรียนการสอนไม่ทันโลก [6]
    ◦ กิจกรรมนักศึกษามักเป็นไปในลักษณะ "ผิวเผิน" เช่น การทาสีโรงเรียน หรือทำความสะอาดวัด แทนที่จะลงลึกไปถึงการแก้ปัญหาสังคมอย่างแท้จริง [4]
• งานวิจัยและการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ แม้มหาวิทยาลัยจะมีองค์ความรู้จากการวิจัยเป็นจำนวนมาก (เช่น เรื่อง PM 2.5 หรือภัยธรรมชาติ) แต่กลับมี "คอขวด" ในการนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม [8, 9] รวมถึงการขาดการแปลงงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ [10]
• ไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์เก่งๆ แต่ "รัฐบาลไม่เคยมามอง" หรือปรึกษาในการจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจ หรือผลกระทบจากการค้าระหว่างประเทศ [11, 12] ความรู้ความสามารถของมหาวิทยาลัยจึง "ไม่มี impact" ต่อการเปลี่ยนแปลงระบบหรือการก้าวไปข้างหน้าของประเทศเท่าที่ควร [12, 13]
• ขาดความตื่นตัวต่อวิกฤตประชากรและโอกาสใหม่ๆ
    ◦ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชมงคล และเอกชน "ยังไม่ตื่นตัว" ต่อจำนวนนักศึกษาที่ลดลงอย่างมาก (จากปีละ 1 ล้านคน เหลือไม่ถึง 5 แสนคน) ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และการอยู่รอด [8, 14]
    ◦ ยังไม่มีการปรับจำนวนสถาบันให้สอดคล้องกับจำนวนนักเรียน และ "ยังไม่เพิ่มงานให้สมดุลกับทรัพยากรที่มีอยู่" [14]
    ◦ ยังให้ความสำคัญกับ "Life Long Learning" หรือหลักสูตรสำหรับคนวัยทำงานและผู้สูงอายุน้อยเกินไป [14, 15]
• ปัญหาภายในองค์กรและการขาดความโปร่งใส มีการตั้งข้อสังเกตว่าหน่วยตรวจสอบภายในของมหาวิทยาลัยมักทำหน้าที่ "ตรวจสอบทางการเงิน" มากกว่า "ตรวจสอบผลการดำเนินงาน" (Performance Audit) ซึ่งเป็นสิ่งที่สภาต้องการ [16] และยังมีการกล่าวถึง "การทุจริต" ในฝ่ายบริหารบางคน [16]
• ขาดการ "เห่า" หรือแสดงบทบาทอย่างแข็งขัน มหาวิทยาลัยถูกมองว่า "เห่าน้อยเกินไป" ในฐานะประภาคาร (beacon) หรือจิตสำนึกของสังคม และไม่สามารถเป็น "หมาที่เห่าดังๆ" เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อรัฐบาลหรือสาธารณะได้อย่างมีพลัง [1, 17]
• ไม่สามารถดึงดูดสมองจากต่างประเทศได้ดีพอ ประเทศไทยขาดนโยบายที่ดีในการดึงดูด "สมองจากโลกาภิวัตน์" หรือผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติเข้ามาเสริมศักยภาพของประเทศ [18, 19] ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถดึงดูดการลงทุนและบุคลากรจากต่างชาติได้ดีกว่า [5, 20, 21]
• บทบาทของสภามหาวิทยาลัยอาจมีข้อจำกัด มีคำถามว่ากลไกและบทบาทของสภามหาวิทยาลัยสามารถ "ขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิผล" ในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและคุณธรรมได้มากน้อยเพียงใด [22, 23]
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ มหาวิทยาลัยยังคงเป็นสถาบันที่ "ยังไม่ล้มเหลว" และ "ได้รับความเชื่อมั่นจากสังคม" อยู่มาก [24-26] ซึ่งถือเป็นความหวังในการหาทางออกและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศในยามวิกฤต [26, 27].

Comments

Most viewed blogs

Useful links (updated: 2025-09-06)

Genome editing technology short note

Umbrella vs Basket Trial