[NotebookLM] - วิกฤตประเทศไทย และบทบาทมหาวิทยาลัยไทย
Original YouTube: • เสวนาคลังสมอง-คลังปัญญาสยาม (กิจกรรมพิเศษ 3)
This academic guide, stemming from the "Siamese Think Tank" forum, comprehensively examines the multifaceted crises facing Thailand—encompassing economic, political, social, and ethical challenges—and proposes a critical role for Thai universities in national problem-solving. It encourages readers to review past university contributions, identify existing limitations like "siloed" operations and short-term administrative visions, and explore innovative solutions such as "Non-Degree Programs," fostering "Human Capital," and emphasizing ethical development. The guide’s purpose is to facilitate a deeper understanding of these complex issues through structured topics, reflective questions, and a detailed quiz with answers, ultimately advocating for universities to transform into a "University of Society" that actively drives tangible "impact" for the nation.
เอกสารสรุปประเด็นสำคัญ (Briefing Document)
หัวข้อ: "ประเทศไทยในวิกฤต: บทบาทของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขและสร้างอนาคต"
ที่มา: สรุปการเสวนา "คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม (กิจกรรมพิเศษ 3)"
ภาพรวมการเสวนา: การเผชิญหน้ากับวิกฤตและบทบาทของมหาวิทยาลัย
การเสวนา "คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม" ได้รวบรวมนายกสภามหาวิทยาลัยและผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงจากหลากหลายสถาบันมาร่วมกันสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับ "Thailand in crisis" โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ แทนที่จะแสวงหาคำตอบที่ตายตัว การเสวนาครั้งนี้เป็น "Open Forum" ที่ไม่มีวาระที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สะท้อนความตระหนักร่วมกันถึงสถานการณ์วิกฤตที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ และความคาดหวังว่ามหาวิทยาลัยในฐานะ "คลังสมอง" และ "ศูนย์กลางแห่งปัญญาและนวัตกรรมของชาติ" จะสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการหาทางออกและสร้างความหวังให้กับสังคม
ประเด็นหลักที่ถูกยกมาในการเสวนาครั้งนี้คือการที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตที่หลากหลายและซับซ้อน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วิกฤตศรัทธา" ที่เป็นรากฐานของปัญหาอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้สังคมอ่อนแอและขาดความเชื่อมั่น และมีการเสนอว่าในภาวะที่รัฐบาลอาจไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้เต็มที่ มหาวิทยาลัยควรเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
1. วิกฤตการณ์หลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ
ผู้ร่วมเสวนาได้ลิสต์ประเด็นวิกฤตและปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยไว้มากมาย โดยสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้:
- วิกฤตเศรษฐกิจ:
- "Trump Effect" และ Trade War: การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (36% จากทรัมป์) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทย โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กปรับตัวไม่ทันและล้มหายตายจากไป ("SE") การค้าระหว่างประเทศที่บีบรัดลง และการที่สินค้าจีนถูกระบายสู่ตลาดโลกมากขึ้น รวมถึงประเทศไทย
- หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ: หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของ GDP และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การพักหนี้ไม่ได้แก้ปัญหา แต่กลับทำให้ปัญหาแย่ลง ปัญหาหนี้นอกระบบรุนแรงขึ้นสำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน
- การเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ: เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมานานนับสิบปี การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ การลงทุนจากต่างประเทศไม่เข้ามา การลงทุนภาครัฐไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชัดเจน
- การท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวตามคาด: โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่กลับมาตามเป้า ทำให้ธุรกิจที่ลงทุนเพื่อรองรับได้รับผลกระทบ
- ตลาดแรงงาน: แรงงานคุณภาพต่ำ ค่าแรงถูก และขาดการลงทุนในมนุษย์
- วิกฤตสังคมและคุณภาพชีวิต:
- Generation Gap: ช่องว่างและความขัดแย้งระหว่างวัย ความเชื่อและค่านิยมที่แตกต่างกันของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและขาดความหวังต่อสถาบันเดิมๆ ทำให้คนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่ออกเรือนและมีบุตร
- สังคมสูงวัย (Aging Society): ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำมาก (1.16 เท่านั้น) คาดว่าจะเท่าเกาหลี (0.7) ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทำให้ขาดแคลนกำลังแรงงานในอนาคต ระบบประกันสังคมและสุขภาพกำลังจะล้มเหลว
- ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม: ช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างกลุ่มคนต่างๆ
- ความเสื่อมถอยของคุณธรรมและค่านิยมร่วม: สังคมขาด "common good" ทุกคนดิ้นรนหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ความดี ความถูกต้อง และความเป็นธรรมกลายเป็นสิ่งล้าสมัย ทำให้เกิดการแบ่งขั้ว แบ่งสี และความขัดแย้งในสังคม
- ปัญหาด้านสุขภาพจิตและการเสพติด: รวมถึงการเสพติดเทคโนโลยี และปัญหาข้อมูลเท็จ (Fake News)
- คุณภาพการศึกษาและคน: คุณภาพคนยังน่ากังวล คุณภาพนักศึกษาลดลง และระบบราชการขาดความโปร่งใส
- วิกฤตด้านการเมืองและการปกครอง:
- เสถียรภาพทางการเมืองและกฎหมาย: ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบหลายด้าน การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งทำให้ขาดความต่อเนื่องของนโยบาย งบประมาณไม่ผ่าน
- Rule of Law และ Good Governance: การขาดหลักนิติธรรมและความโปร่งใส ทำให้องค์กรที่ควรเป็นที่พึ่งของประชาชนเสื่อมถอยลง "ระบบความยุติธรรมในประเทศนี้ก็ล้มเหลวอีก เราไม่เห็นคนที่มีอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในระบบราชการถูกฟ้องคดีหรือติดคุก"
- ระบบราชการที่ล้มเหลว: การโยกย้ายข้าราชการระดับสูงบ่อยครั้ง ทำให้ระบบราชการขาดหลักการและขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
- วิกฤตภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม:
- Climate Change และภัยธรรมชาติ: น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในภาคเหนือ องค์ความรู้ในการแก้ปัญหามีอยู่ แต่ขาดการนำไปปฏิบัติจากภาครัฐ
- วิกฤตด้านความมั่นคง:
- ความมั่นคงทางกายภาพและไซเบอร์: รวมถึงความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน (ภาคใต้, กัมพูชา) การคุกคามทางไซเบอร์ และความรุนแรงในครอบครัว
บทสรุปของวิกฤต: ผู้ร่วมเสวนาหลายท่านมองว่าสถานการณ์เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยใกล้เคียงกับ "รัฐที่ล้มเหลว" (Failed State) หรืออาจเป็นแล้วก็ได้ ดังที่ ดร. สุรพล พูดว่า "ประเทศไทยมันใกล้จะล้มเหลวแล้ว หรือมันล้มเหลวแล้วก็ยังไม่รู้ เพราะมันไม่มีความหวังอะไรเลย" สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "วิกฤตศรัทธา" ที่ทำให้อะไรๆ ดูแย่ลงไปหมด และยากที่จะหาทางออก
2. บทบาทและศักยภาพของมหาวิทยาลัยในการรับมือวิกฤต
แม้จะเผชิญกับวิกฤตนานาประการ แต่ผู้ร่วมเสวนามีความเชื่อมั่นว่า มหาวิทยาลัยยังคงเป็น "ความหวัง" และได้รับ "ศรัทธา" จากสังคมอยู่ แตกต่างจากสถาบันอื่นๆ ที่อาจถูกมองว่าล้มเหลวแล้ว หรือมีผลประโยชน์แอบแฝง
บทบาทที่ผ่านมาและศักยภาพ:
- การแก้ปัญหาวิกฤตในอดีต: มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประเทศในยามวิกฤต เช่น วิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะโครงการ "1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล" ที่ลงพื้นที่ไปช่วยยกระดับอาชีพและสร้างความผูกพันกับชุมชนอย่างมาก ("1 มหาวลัย 1 ตำบล ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผมไปคุยกับชุม ชุมชน ชุมชนก็บอก เ ดี ใจครับ อาจารย์ ที่จะ อาจารย์ ลงไปช่วย เค้า เนี่ย นะ ผล ผลิต เ ทำได้ดี และ ที่ สำคัญ ที่ สุด เ บอก ว่า 1 เนี่ย เ ได้ รู้จัก อาจารย์ ครู บา อาจารย์ ที่ มี ความ รู้ จริงๆ ใน เรื่อง ของ อาชีพ ที่ เขา ทำ อยู่")
- คลังความรู้และผู้เชี่ยวชาญ: มหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มีองค์ความรู้และผลงานวิจัยมากมาย แต่ยังขาดกลไกในการนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์จริง ("ไอ้วิกฤตอันนี้เนี่ย ทำยังไงวิกฤตที่จะเอาผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อมก็ตาม ยังเป็นคอขวดอยู่")
- สร้างคนและสมอง: หน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยคือการสร้างคนที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม และมีทักษะที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงการดึงดูดสมองจากต่างประเทศ (Talent Acquisition)
- เป็น "Conscious of Society" และ "Beacon of the Land": มหาวิทยาลัยควรเป็นประภาคารและเป็นสติปัญญาของสังคม ที่กล้า "เห่าดังๆ" เพื่อเตือนสติและนำทางสังคม ("ต้องช่วยกันเห่าดัง ๆ เป็น beacon of the land แต่ว่า ต้อง เห่า ดัง ๆ")
ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับบทบาทของมหาวิทยาลัย:
- การปรับตัวภายในมหาวิทยาลัย:
- ลดการทำงานแบบ "ไซโล": ควรส่งเสริมการทำงานร่วมกันข้ามภาควิชาและคณะ เพื่อให้องค์ความรู้เชื่อมโยงกันและตอบโจทย์ปัญหาสังคมที่ซับซ้อน เช่น ปัญหา Climate Action ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา
- ปรับปรุงหลักสูตรให้รวดเร็วและทันสมัย: กระบวนการอนุมัติหลักสูตรควรเร็วขึ้น เน้นหลักสูตร Non-Degree (Reskill, Upskill, New Skill) เพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- ผลิต "อาจารย์พันธุ์ใหม่": อาจารย์ควรมีประสบการณ์ภาคปฏิบัติจริงและทำหน้าที่เป็นโค้ชมากกว่าเป็นผู้บรรยาย เพื่อให้สามารถสอนและให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
- เน้น "Real World Impact": มหาวิทยาลัยควรเปลี่ยนเป้าหมายจากการเน้น University Ranking ไปสู่การสร้างผลกระทบที่แท้จริงต่อสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ โดยยึดหลัก Sustainable Development
- การทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย (Collaboration):
- สร้าง "Flying Geese Pattern": มหาวิทยาลัยควรจับมือกันเป็นกลุ่ม (เช่น Top 20) เพื่อขับเคลื่อนในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การรับมือกับ Geopolitics ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในไทย สร้างนวัตกรรม หรือแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
- แบ่งกลุ่มความเชี่ยวชาญ: จัดตั้ง Focal Group ตามความถนัด เช่น กลุ่มสังคม (Human Value, ความเหลื่อมล้ำ, Generation Gap), กลุ่มเศรษฐกิจ (อุตสาหกรรม, เกษตร, ตลาดใหม่), กลุ่มสิ่งแวดล้อม (น้ำ, PM 2.5), กลุ่มเทคโนโลยี (AI, Research to Innovation), กลุ่มกฎหมายและการเมือง
- แลกเปลี่ยน Best Practice: แชร์ความรู้และประสบการณ์ในการทำหลักสูตรแบบ Multidisciplinary, Non-Degree Program, และ Research to Innovation to Market
- การเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่น:
- ทำงานร่วมกับภาคเอกชน: เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม, สร้างงานและรายได้ (Income/Job Creation) ผ่านการ Reskill/Upskill/New Skill ของแรงงาน
- เป็น "University of Society": มหาวิทยาลัยควรเป็นของสังคมอย่างแท้จริง โดยนำปัญหาของสังคมมาช่วยแก้ไขอย่างเต็มที่ และหากจำเป็นก็ดึงผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกหรือต่างประเทศมาร่วมด้วย
- ส่งเสริม Internationalization: ดึงดูดนักศึกษาและสมองจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และพม่า เพื่อเติมเต็มกำลังคนและสมองให้กับประเทศ
- เชื่อมโยงกับ "Young Generation": มหาวิทยาลัยควรลงไปทำงานกับนักเรียนมัธยม เพื่อใช้พลังของคนรุ่นใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านการเรียนรู้ยุคใหม่ (New Science of Learning) และ Experiential Learning
- ข้อเสนอเชิงนโยบาย (ถึงรัฐบาล):
- ยกระดับการศึกษาเป็น "Economic/Industrial Policy": ไม่ใช่แค่ "Social Policy" การลงทุนในการศึกษาคือการลงทุนใน "Human Capital" และ "Industrial Policy" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
ความท้าทายที่ยังคงมี:
- การนำผลงานวิจัยไปใช้จริง: ยังเป็นคอขวดที่สำคัญ
- การปรับตัวของอาจารย์: การเปลี่ยน "อาจารย์พันธุ์เก่า" เป็น "อาจารย์พันธุ์ใหม่" ที่มีประสบการณ์ภาคปฏิบัติเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
- การ Downsizing/Merger: การควบรวมมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาลดลงเป็นเรื่องจำเป็นแต่เจ็บปวดและทำได้ยากในทางปฏิบัติ
- งบประมาณและการพึ่งพารัฐบาล: แม้จะเน้นการพึ่งพาตนเอง แต่หลายโครงการยังคงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ
3. บทสรุปและข้อเสนอแนะเบื้องต้นสำหรับ "คลังสมอง"
- "คลังสมอง" ในฐานะ Platform กลาง: ควรเป็นศูนย์รวมปัญญาและนวัตกรรม ที่สามารถจัดให้เกิด "Forum" และ "Dialog" อย่างต่อเนื่อง
- นำเสนอ "ความหวัง": ในภาวะที่สังคมหมดหวัง มหาวิทยาลัยต้องเป็นผู้สร้างความหวังให้กับประชาชนโดยแสดงให้เห็นว่ายังคง "แคร์" สังคมและรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหา
- เน้น "Action": จากการเสวนาในครั้งนี้ ควรมีการกำหนด "Next Step" ที่ชัดเจน เช่น การจัดกลุ่ม (Focal Group) มหาวิทยาลัยตามความเชี่ยวชาญ เพื่อให้แต่ละกลุ่มสามารถนำเสนอ "Best Practice" และ "Solution" ในประเด็นวิกฤตที่ตนสนใจ
- สื่อสารกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยและสาธารณะ: ผลการหารือควรถูกสื่อสารไปยังอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับสถาบัน รวมถึงการสื่อสารต่อสาธารณะเพื่อฟื้นฟูศรัทธา
การเสวนาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการระดมสมองจากผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงของประเทศ เพื่อแสวงหาทางออกและกำหนดทิศทางให้กับมหาวิทยาลัยในการเป็นพลังสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน.
การทบทวนความเข้าใจ: วิกฤตประเทศไทยและบทบาทของมหาวิทยาลัย
คู่มือการศึกษา
คู่มือการศึกษานี้จะช่วยให้คุณทบทวนและทำความเข้าใจเนื้อหาจากการเสวนา “คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่วิกฤตการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ และบทบาทที่มหาวิทยาลัยสามารถมีได้ในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
หัวข้อหลักในการศึกษา:
- ภาพรวมของวิกฤตประเทศไทย:
- ระบุและทำความเข้าใจวิกฤตการณ์ที่ผู้เสวนาได้กล่าวถึง (เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม, เทคโนโลยี, สิ่งแวดล้อม, คุณธรรม-จริยธรรม, ศรัทธา)
- วิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบของวิกฤตแต่ละประเภท
- ทำความเข้าใจถึงแนวคิด "Thailand in crisis" และ "failed state" ที่ถูกกล่าวถึง
- บทบาทของมหาวิทยาลัยในอดีตและปัจจุบัน:
- ทบทวนบทบาทสำคัญของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขวิกฤตที่ผ่านมา (เช่น โควิด-19 และโครงการ 1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล)
- ประเมินข้อจำกัดและปัญหาที่มหาวิทยาลัยเผชิญอยู่ในการมีบทบาทเชิงรุก (เช่น การทำงานแบบไซโล, ความล่าช้าในการอนุมัติหลักสูตร, การขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวของผู้บริหาร)
- ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขวิกฤตโดยมหาวิทยาลัย:
- สำรวจแนวคิดและข้อเสนอแนะสำหรับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของมหาวิทยาลัย (เช่น การปรับตัวตามโลก, การทำงานร่วมกันระหว่างคณะ/มหาวิทยาลัย, การเน้น Non-Degree Programs, การสร้าง Human Capital, การปลูกฝังคุณธรรม-จริยธรรม)
- ทำความเข้าใจแนวคิด "New Science of Learning" และ "Generation Power"
- วิเคราะห์โอกาสที่เกิดจาก Geopolitics และ Fragmented Globalization สำหรับมหาวิทยาลัยไทย
- พิจารณาบทบาทของมหาวิทยาลัยในการเป็น "University of Society" และการสร้าง "impact" ที่เป็นรูปธรรม
- มุมมองและข้อสังเกตของผู้ร่วมเสวนา:
- สรุปประเด็นสำคัญและข้อสังเกตจากผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่าน (เช่น มุมมองด้านเศรษฐกิจจาก อ.ณรงค์ชัย, วิกฤตศรัทธาจาก อ.จุรีและ อ.ปิยสกล, การบริหารราชการที่ล้มเหลวจาก อ.สุรพล, โอกาสจาก geopolitics จาก อ.สุรเกียรติ, การสร้างคนและสมองจาก อ.กฤษนพงษ์, บทบาทการตรวจสอบภายในจาก อ.ชุมพล, New Science of Learning จาก อ.วิจารณ์)
- เปรียบเทียบและหาจุดร่วม/จุดต่างในมุมมองของผู้ร่วมเสวนา
คำถามนำสำหรับการทบทวน:
- วิกฤตใดที่ผู้เสวนากังวลมากที่สุด และเหตุผลคืออะไร?
- มหาวิทยาลัยได้แสดงบทบาทสำคัญอะไรบ้างในการแก้ปัญหาวิกฤตที่ผ่านมา?
- อะไรคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้มหาวิทยาลัยไม่สามารถมีบทบาทได้อย่างเต็มศักยภาพในปัจจุบัน?
- หากรัฐบาลไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ มหาวิทยาลัยควรปรับบทบาทอย่างไร?
- แนวคิด "New Science of Learning" และ "Generation Power" สามารถนำมาปรับใช้ในการแก้ไขวิกฤตได้อย่างไร?
- การทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยมีความสำคัญอย่างไร และจะเริ่มต้นได้อย่างไร?
- อะไรคือ "tripping point" ที่สามารถเปลี่ยนภูมิทัศน์ของการมองเรื่องการศึกษาในประเทศไทย?
แบบทดสอบ (10 ข้อ)
โปรดตอบคำถามต่อไปนี้ด้วยข้อความ 2-3 ประโยค
- ผู้เสวนาได้กล่าวถึง "Trump Effect" ว่าเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส อธิบายว่าวิกฤตจาก "Trump Effect" คืออะไร และโอกาสที่ซ่อนอยู่คืออะไร
- อธิบายแนวคิด "University of Society" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งกล่าวถึง ว่าแตกต่างจาก "University for Society" อย่างไร
- ปัญหาหลักของ "คุณภาพนักศึกษา" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งได้ยกขึ้นมาพูดถึงคืออะไร และเชื่อมโยงกับ "Aging Society" อย่างไร
- ตามที่ผู้เสวนาหลายท่านกล่าวถึง "วิกฤตศรัทธา" มีผลกระทบอย่างไรต่อสังคมไทย และเหตุใดจึงเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่น ๆ
- ผู้เสวนาได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของบทบาทมหาวิทยาลัยในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะโครงการใดที่ถูกเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
- การทำงานแบบ "ไซโล" ภายในมหาวิทยาลัยถูกกล่าวถึงว่าเป็นอุปสรรคอย่างไรในการแก้ไขปัญหาวิกฤตระดับชาติ
- "Generation Gap" ถูกมองว่าเป็นปัญหาอย่างไร และเหตุใดผู้เสวนาบางท่านจึงเสนอให้มองว่าเป็น "Generation Power" แทน
- อธิบายว่าทำไมงบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่านจึงถูกมองว่าเป็น "โหดสุด" สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจระยะสั้นของประเทศไทย
- ผู้เสวนาคนหนึ่งได้กล่าวถึง "Fragented Globalization" อธิบายว่าแนวคิดนี้คืออะไร และมหาวิทยาลัยไทยควรปรับตัวอย่างไรในบริบทนี้
- อธิบายความเห็นของผู้เสวนาที่ว่า "การศึกษา" ควรถูกมองว่าเป็น "นโยบายเศรษฐกิจ" และ "นโยบายอุตสาหกรรม" ไม่ใช่แค่ "นโยบายสังคม"
เฉลยแบบทดสอบ
- ผู้เสวนาได้กล่าวถึง "Trump Effect" ว่าเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส อธิบายว่าวิกฤตจาก "Trump Effect" คืออะไร และโอกาสที่ซ่อนอยู่คืออะไร วิกฤตจาก "Trump Effect" คือการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้า ทำให้สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเกษตรกรรม โอกาสที่ซ่อนอยู่คือการเป็น "PL" (เครื่องเตือนสติ) ที่ทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัว มองหาตลาดใหม่ ๆ เช่น อาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมและสร้าง "New Order" ของตนเอง
- อธิบายแนวคิด "University of Society" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งกล่าวถึง ว่าแตกต่างจาก "University for Society" อย่างไร "University for Society" หมายถึง มหาวิทยาลัยช่วยเหลือสังคมตามที่ตนเองมีอยู่ โดยทำงานในขอบเขตของตนเอง แต่ "University of Society" หมายถึง การที่มหาวิทยาลัยเป็น "ของสังคม" อย่างแท้จริง โดยนำปัญหาของสังคมมาช่วยแก้ไขอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งดึงผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกและต่างประเทศมาร่วมด้วยหากจำเป็น เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม
- ปัญหาหลักของ "คุณภาพนักศึกษา" ที่ผู้เสวนาคนหนึ่งได้ยกขึ้นมาพูดถึงคืออะไร และเชื่อมโยงกับ "Aging Society" อย่างไร ปัญหาหลักคือคุณภาพของนักศึกษาลดลง และมีจำนวนนักศึกษาน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากสังคมสูงวัย (Aging Society) ทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำลง (1.16 เท่า) ส่งผลให้จำนวนเด็กรุ่นใหม่ลดลง ซึ่งเป็นระเบิดเวลาในระยะยาวต่อการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศ
- ตามที่ผู้เสวนาหลายท่านกล่าวถึง "วิกฤตศรัทธา" มีผลกระทบอย่างไรต่อสังคมไทย และเหตุใดจึงเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่น ๆ วิกฤตศรัทธาทำให้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นและความขัดแย้งมากขึ้น ทำให้ง่ายต่อการแทรกแซงและเป็นสังคมที่อ่อนแอ การขาดความเชื่อมั่นนี้เป็นรากเหง้า เพราะเมื่อประชาชนไม่เชื่อถือสถาบันต่าง ๆ เช่น รัฐบาล ระบบยุติธรรม หรือแม้กระทั่งกันเอง ก็จะไม่มีพลังในการรวมกันเพื่อแก้ไขปัญหาใด ๆ ได้อย่างแท้จริง
- ผู้เสวนาได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของบทบาทมหาวิทยาลัยในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะโครงการใดที่ถูกเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โครงการที่ถูกเน้นว่าประสบความสำเร็จอย่างมากคือ "1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล" ซึ่งเป็นโครงการที่มหาวิทยาลัยลงพื้นที่ไปช่วยยกระดับอาชีพให้ประชาชนที่กลับบ้านเกิดในช่วงโควิด-19 สร้างความผูกพันและองค์ความรู้จริงให้กับชุมชน
- การทำงานแบบ "ไซโล" ภายในมหาวิทยาลัยถูกกล่าวถึงว่าเป็นอุปสรรคอย่างไรในการแก้ไขปัญหาวิกฤตระดับชาติ การทำงานแบบ "ไซโล" คือการที่ภาควิชาและคณะทำงานแยกส่วนกัน ขาดการเชื่อมโยง ทำให้การพัฒนาหลักสูตรหรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและต้องใช้ความร่วมมือข้ามสาขาเป็นไปได้ยาก ทั้งที่ปัญหาในโลกจริงนั้นเชื่อมโยงกันหมด และมหาวิทยาลัยมีผู้เชี่ยวชาญในทุกด้านแต่ไม่ได้ทำงานร่วมกัน
- "Generation Gap" ถูกมองว่าเป็นปัญหาอย่างไร และเหตุใดผู้เสวนาบางท่านจึงเสนอให้มองว่าเป็น "Generation Power" แทน "Generation Gap" ถูกมองว่าเป็นปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ในด้านความเชื่อ ค่านิยม และวิถีชีวิต ผู้เสวนาบางท่านเสนอให้มองว่าเป็น "Generation Power" เพราะคนรุ่นใหม่มีพลังและวิธีการคิดแบบใหม่ที่สามารถเป็น "คันงัด" สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาได้ หากมีการดึงพลังนี้ออกมาใช้
- อธิบายว่าทำไมงบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่านจึงถูกมองว่าเป็น "โหดสุด" สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจระยะสั้นของประเทศไทย งบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ผ่าน (ในช่วงที่เสวนา) ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2567 เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมาก การค้าขายตกต่ำและกระทบไปทั่วภาคส่วนต่าง ๆ เนื่องจากไม่มีการลงทุนภาครัฐ ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
- ผู้เสวนาคนหนึ่งได้กล่าวถึง "Fragmented Globalization" อธิบายว่าแนวคิดนี้คืออะไร และมหาวิทยาลัยไทยควรปรับตัวอย่างไรในบริบทนี้ "Fragmented Globalization" หมายถึง โลกาภิวัตน์ที่แตกออกเป็นส่วน ๆ ไม่ใช่ระบบการค้าโลกที่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป มหาวิทยาลัยไทยควรปรับตัวโดยการเน้นบทบาทในภูมิภาค (อาเซียน, เอเชียตะวันออก, จีน, BIMSTEC) สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศเพื่อนบ้าน และดึงดูดสมองจากประเทศเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทย
- อธิบายความเห็นของผู้เสวนาที่ว่า "การศึกษา" ควรถูกมองว่าเป็น "นโยบายเศรษฐกิจ" และ "นโยบายอุตสาหกรรม" ไม่ใช่แค่ "นโยบายสังคม" ผู้เสวนาเห็นว่าการศึกษามีบทบาทสำคัญมากกว่าแค่การผลิตแรงงานหรือการพัฒนาสังคมเท่านั้น แต่เป็นหัวใจของการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งหมด เพราะ "คน" คือ "Human Capital" ที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง การลงทุนในการศึกษาจึงเป็นการลงทุนในผู้ประกอบการและในศักยภาพทางเศรษฐกิจของชาติโดยตรง
คำถามเชิงเรียงความ (5 ข้อ)
- จากเนื้อหาการเสวนา วิกฤตการณ์ใดที่ท่านคิดว่าเป็น "ระเบิดเวลา" ที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในระยะยาว และมหาวิทยาลัยสามารถมีบทบาทเชิงรุกในการบรรเทาวิกฤตนี้ได้อย่างไรบ้าง? จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
- ผู้เสวนาได้กล่าวถึง "วิกฤตศรัทธา" และการที่ "ความดี ความถูกต้อง ความเป็นธรรม" กลายเป็นสิ่ง "เชย" ในสังคมไทย หากท่านเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย ท่านจะออกแบบนโยบายหรือกิจกรรมใดเพื่อปลูกฝัง "มนุษย์ที่สมบูรณ์" และฟื้นฟูคุณค่าเหล่านี้ในหมู่นิสิตนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย?
- บทบาทของมหาวิทยาลัยในการแก้ไขวิกฤตถูกมองว่ามีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะการทำงานแบบ "ไซโล" และ "วิสัยทัศน์ 4 ปี" ของผู้บริหาร หากท่านเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย ท่านจะมีแนวทางในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ "มองยาว" และทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง "impact" ต่อประเทศได้อย่างไร?
- การเสวนาชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก "Technology Disruption" และ "Demographic Disruption" มหาวิทยาลัยไทยควรปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนและหลักสูตรอย่างไร เพื่อผลิต "อาจารย์พันธุ์ใหม่" และ "บัณฑิตพันธุ์ใหม่" ที่เท่าทันและสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น?
- ผู้เสวนาหลายท่านเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยควร "จับมือกัน" เพื่อสร้างพลังในการแก้ไขวิกฤตของชาติ จงเสนอแนวคิด "กลุ่ม Flying Geese" ของมหาวิทยาลัยไทย 3-5 แห่ง ที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านที่สำคัญของประเทศ โดยระบุว่ากลุ่มมหาวิทยาลัยใดจะทำงานร่วมกันในเรื่องใด และคาดว่าจะสร้าง "impact" ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร
อภิธานศัพท์
- คลังสมอง-คลังปัญญาสยาม: ชื่อกิจกรรมการเสวนาที่จัดขึ้นโดยสถาบันคลังสมอง ซึ่งรวบรวมผู้ทรงคุณวุฒิและนายกสภามหาวิทยาลัยมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤตของประเทศไทย
- Thailand in crisis: แนวคิดที่สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์หลากหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และคุณธรรม
- Man-years: หน่วยวัดปริมาณงาน โดยเทียบเท่ากับจำนวนคนที่ทำงานตลอดทั้งปี
- Open Forum: การประชุมหรือเสวนาแบบเปิดกว้างที่ไม่มีวาระการประชุมตายตัว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
- Trump Effect: ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีนำเข้า ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของไทย
- หนี้ครัวเรือน (Household Debt): หนี้สินของภาคครัวเรือน ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข
- Generation Gap: ช่องว่างระหว่างวัยในด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และวิถีชีวิต ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในสังคม
- Climate Change: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง และปัญหา PM 2.5
- ESG (Environmental, Social, and Governance): แนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นแนวทางที่ภาคเอกชนเริ่มนำมาใช้
- Supply Chain: ห่วงโซ่อุปทาน การเชื่อมโยงการผลิตและการขนส่งสินค้า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
- Trade War: สงครามการค้า การพิพาททางการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ ผ่านการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษี
- China Flooding: การหลั่งไหลของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดโลกและประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถระบายไปยังสหรัฐฯ ได้มากนัก
- AI (Artificial Intelligence): ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อทุกวงการ ทั้งธุรกิจ การศึกษา และภาครัฐ
- Commercialization: การนำผลงานวิจัยหรือนวัตกรรมไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มและสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
- Aging Society: สังคมสูงวัย ภาวะที่ประชากรสูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานและโครงสร้างทางสังคม
- ภาวะการเจริญพันธุ์ (Fertility Rate): อัตราการเกิดของประชากร ซึ่งประเทศไทยมีอัตราต่ำและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- Good Governance: ธรรมาภิบาล หลักการบริหารจัดการที่ดี เน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และนิติธรรม
- Rule of Law: หลักนิติธรรม การปกครองโดยกฎหมายและหลักการยุติธรรม
- Internationalization: การเป็นสากล การปรับตัวให้เข้ากับบริบทและความร่วมมือระหว่างประเทศ
- โรคอุบัติใหม่ (Emerging Diseases): โรคติดเชื้อที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหรืออุบัติซ้ำ เช่น โควิด-19
- คลัง (Khlang): หมายถึง ขุมทรัพย์ หรือแหล่งรวมสิ่งมีค่า ในบริบทนี้คือ แหล่งรวมปัญญา
- 1 มหาวิทยาลัย 1 ตำบล: โครงการของรัฐบาลที่ให้มหาวิทยาลัยลงพื้นที่ช่วยพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
- โคก หนอง นา โมเดล: รูปแบบการบริหารจัดการพื้นที่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
- Rational Expectation: การคาดการณ์อย่างมีเหตุผล โดยอิงจากข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้พฤติกรรมทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป เช่น การประหยัดเงินเมื่อคาดว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง
- Micro Level: ระดับจุลภาค ในที่นี้หมายถึงปัญหาในระดับย่อย ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล หรือประสิทธิภาพของรัฐบาล
- กับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle-Income Trap): ภาวะที่ประเทศไม่สามารถก้าวพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูงได้
- ไซโล (Silo): โครงสร้างการทำงานที่แต่ละหน่วยงานหรือแผนกทำงานแยกจากกัน ขาดการประสานงาน
- ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Inequality): ช่องว่างหรือความไม่เท่าเทียมกันในด้านรายได้ โอกาส และคุณภาพชีวิตในสังคม
- Geopolitics: ภูมิรัฐศาสตร์ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภูมิศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ
- Technology Disruption: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจและวิถีชีวิต
- Demographic Disruption: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือการลดลงของประชากรวัยแรงงาน
- Environmental Disruption: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ และมลพิษ
- Mitigation: การบรรเทาผลกระทบ การลดความรุนแรงของปัญหา
- Adaptation: การปรับตัว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือระบบเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
- Carbon Credit: กลไกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยอนุญาตให้บริษัทหรือประเทศต่าง ๆ ซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยคาร์บอน
- Non-Degree Programs: หลักสูตรที่ไม่ใช่ปริญญา เช่น หลักสูตรระยะสั้นเพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะทาง
- Reskill/Upskill/New Skill: การพัฒนาทักษะใหม่ (Reskill), การเพิ่มพูนทักษะที่มีอยู่ (Upskill), และการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต (New Skill)
- Humanism: มนุษยนิยม แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี คุณค่า และศักยภาพของมนุษย์
- Tripping Point: จุดเปลี่ยน หรือจุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
- Bottom Up: การทำงานจากระดับล่างขึ้นสู่ระดับบน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่หรือระดับปฏิบัติการ
- Flying Geese Pattern: รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่ประเทศผู้นำจะถ่ายทอดเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมให้กับประเทศผู้ตาม
- BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation): กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคนิคในภูมิภาคอ่าวเบงกอล
- Benchmarking: การเปรียบเทียบและเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์กรอื่น
- Chomsky, Noam: นักภาษาศาสตร์ นักปรัชญา และนักวิจารณ์สังคมและการเมืองชาวอเมริกัน ผู้มีอิทธิพลทางความคิดสูง
- Experiential Learning: การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงหรือการลงมือปฏิบัติ
- University for Society vs. University of Society: มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม (ทำเพื่อสังคมในขีดจำกัด) เทียบกับ มหาวิทยาลัยของสังคม (เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่)
- KPI (Key Performance Indicator): ตัวชี้วัดผลงานหลัก
- SDG (Sustainable Development Goals): เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
- Merger: การรวมกิจการ การรวมมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
Comments
Post a Comment