NotebookLM: การประชุมประจำปี 2568 ของ สศช. "ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย (Thailand's Institutional Reform)"
ใช้สรุปเป็นคน ๆ ที่เราสนใจ มีคนกล่าวถึง อ.ประเวศ วะสี อีกแล้วเรื่องการรวมพลังของคนในการสร้างหลักนิติธรรมที่ดี
แล้วก็นึกถึง post เก่าตอนที่ไปเรียนจาก CUVIP เรื่อง กฎหมาย
https://t-lerksuthirat.blogspot.com/2025/07/cuvip-homework.html
แล้วก็นึกถึง talk ของ อ.บรรยง
https://t-lerksuthirat.blogspot.com/2025/04/testing-notebooklm-with-youtube-video.html
แล้วก็นึกถึงสไลด์หน้าสุดท้ายของ อ.สมเกียรติ ที่กล่าวถึง อ.ประเวศ
สรุปง่าย ๆ คือ ประชาชนต้องมีสัมมาทิฐิ และต้องเป็นประชาชนที่ตื่นรู้ (active citizen)
----
หลักนิติธรรม: โครงสร้างพื้นฐานสู่การพัฒนาประเทศ
แน่นอนครับ นี่คือสรุปเนื้อหาการบรรยายโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ โดยเน้นประเด็นสำคัญที่ท่านได้นำเสนอในการประชุมประจำปี 2568 ของ สศช. จากแหล่งข้อมูลที่ให้มาครับ
ดร. กิตติพงษ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "หลักนิติธรรม" (Rule of Law) โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ แต่กลับเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและมักถูกละเลยไป [1]. ท่านมองว่าหลักนิติธรรมมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้อย่างไฟฟ้า น้ำ หรือถนน [2].
ปัญหาของหลักนิติธรรมในประเทศไทย
ท่านได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่การปฏิรูปด้านหลักนิติธรรมในอดีตมักไม่ประสบความสำเร็จไว้หลายประการ:
1. เป็นเรื่องนามธรรมและถูกมองแยกส่วน: ดร. กิตติพงษ์ อธิบายว่าหลักนิติธรรมมักถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องของนักกฎหมาย ทั้งที่จริงแล้ว หลักนิติธรรมคือหลักการของประชาชน เพื่อควบคุมไม่ให้นักกฎหมายหรือระบบกฎหมายใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง [3]. เมื่อหลักนิติธรรมเป็นนามธรรมและซับซ้อน จึงทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจและไม่สามารถเริ่มต้นแก้ไขได้ถูกจุด [3, 4].
2. เชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจรัฐ: ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือหลักนิติธรรมนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงสร้างอำนาจทางการเมือง [5, 6]. การปฏิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปกฎหมายหรือตำรวจ มักจะไปติดขัดกับ "เจตจำนงทางการเมือง" และการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ทำให้ไม่สามารถผลักดันให้สำเร็จได้ [6, 7].
3. ขาดเจ้าภาพและการบูรณาการ: เนื่องจากหลักนิติธรรมเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและเป็นเรื่องของการจำกัดอำนาจรัฐเอง จึงทำให้หาเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนได้ยาก และการทำงานของหน่วยงานราชการก็มักเป็นแบบแยกส่วน (sector) [8].
4. ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นอุปสรรค: ในสภาวะที่การเมืองมีความขัดแย้ง หลักนิติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แทนที่จะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม [8].
แนวทางการยกเครื่องหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้นจริง
ดร. กิตติพงษ์ ได้เสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป โดยเน้นการทำให้เป็นรูปธรรมและอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน:
1. ทำให้เป็นรูปธรรมและวัดผลได้: ท่านเสนอให้ใช้กรอบการประเมินจากหน่วยงานระดับโลกอย่าง World Justice Project (WJP) ซึ่งมีตัวชี้วัด 8 ด้าน เพื่อเปลี่ยนเรื่องนามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรมที่สามารถวัดผลและติดตามได้ [9, 10]. จากข้อมูลของ WJP พบว่าจุดอ่อนที่สุดของไทยคือด้าน "การจำกัดและตรวจสอบอำนาจรัฐ" ซึ่งอยู่อันดับที่ 101 ของโลก สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจอย่างชัดเจน [11].
2. เริ่มต้นจาก 3 เรื่องเร่งด่วน: ท่านเสนอว่ารัฐบาลปัจจุบันควรเริ่มต้นจากการผลักดัน 3 ประเด็นสำคัญ คือ:
◦ การต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-corruption)
◦ การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ (Open Government)
◦ การปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform) [12, 13]
3. ใช้แนวทางร่วมมือกันทั้งสังคม (Whole Society Approach): การปฏิรูปจะไม่มีทางสำเร็จได้หากทำโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง [14]. ต้องอาศัยการ "กดดันและผลักดันร่วมกัน" จากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาครัฐ [14]. ท่านชี้ว่าภาคประชาสังคมของไทยมีความกล้าหาญและมีแนวคิดที่ชัดเจน แต่ยังขาดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ [15].
4. ใช้มาตรฐานสากลเป็นแรงผลักดัน: การที่ประเทศไทยมีความต้องการจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สามารถใช้เป็นกลไก "แรงดึงจากต่างประเทศ (International Pull)" ควบคู่ไปกับ "แรงผลักจากภายในประเทศ (Domestic Push)" เพื่อสร้างมาตรฐานและผลักดันให้เกิดการปฏิรูปอย่างจริงจัง [12].
5. สร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ (Civic Education): ท่านย้ำว่าการปฏิรูปที่ยั่งยืนต้องมาจากการสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิและความเป็นพลเมืองให้แก่ประชาชนตั้งแต่ระดับเยาวชน เพื่อให้เข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ได้จบแค่การเลือกตั้ง แต่คือการตรวจสอบและสร้างความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นกับผู้มีอำนาจ [16].
สุดท้าย ดร. กิตติพงษ์ ได้อ้างถึงคำกล่าวของ นพ. ประเวศ วะสี ที่ว่า "หลักนิติธรรมที่ดีไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมสร้าง" เพื่อย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนในสังคมลุกขึ้นมาลงมือทำร่วมกันอย่างจริงจัง [17].
--------------------------------------------------------------------------------
หลักนิติธรรม: โครงสร้างพื้นฐานสู่การพัฒนาประเทศ
แน่นอนครับ นี่คือสรุปเนื้อหาการบรรยายโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ โดยเน้นประเด็นสำคัญที่ท่านได้นำเสนอในการประชุมประจำปี 2568 ของ สศช. จากแหล่งข้อมูลที่ให้มาครับ
ดร. กิตติพงษ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "หลักนิติธรรม" (Rule of Law) โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ แต่กลับเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและมักถูกละเลยไป [1]. ท่านมองว่าหลักนิติธรรมมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้อย่างไฟฟ้า น้ำ หรือถนน [2].
ปัญหาของหลักนิติธรรมในประเทศไทย
ท่านได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่การปฏิรูปด้านหลักนิติธรรมในอดีตมักไม่ประสบความสำเร็จไว้หลายประการ:
1. เป็นเรื่องนามธรรมและถูกมองแยกส่วน: ดร. กิตติพงษ์ อธิบายว่าหลักนิติธรรมมักถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องของนักกฎหมาย ทั้งที่จริงแล้ว หลักนิติธรรมคือหลักการของประชาชน เพื่อควบคุมไม่ให้นักกฎหมายหรือระบบกฎหมายใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง [3]. เมื่อหลักนิติธรรมเป็นนามธรรมและซับซ้อน จึงทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจและไม่สามารถเริ่มต้นแก้ไขได้ถูกจุด [3, 4].
2. เชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจรัฐ: ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือหลักนิติธรรมนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงสร้างอำนาจทางการเมือง [5, 6]. การปฏิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปกฎหมายหรือตำรวจ มักจะไปติดขัดกับ "เจตจำนงทางการเมือง" และการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ทำให้ไม่สามารถผลักดันให้สำเร็จได้ [6, 7].
3. ขาดเจ้าภาพและการบูรณาการ: เนื่องจากหลักนิติธรรมเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและเป็นเรื่องของการจำกัดอำนาจรัฐเอง จึงทำให้หาเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนได้ยาก และการทำงานของหน่วยงานราชการก็มักเป็นแบบแยกส่วน (sector) [8].
4. ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นอุปสรรค: ในสภาวะที่การเมืองมีความขัดแย้ง หลักนิติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แทนที่จะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม [8].
แนวทางการยกเครื่องหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้นจริง
ดร. กิตติพงษ์ ได้เสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป โดยเน้นการทำให้เป็นรูปธรรมและอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน:
1. ทำให้เป็นรูปธรรมและวัดผลได้: ท่านเสนอให้ใช้กรอบการประเมินจากหน่วยงานระดับโลกอย่าง World Justice Project (WJP) ซึ่งมีตัวชี้วัด 8 ด้าน เพื่อเปลี่ยนเรื่องนามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรมที่สามารถวัดผลและติดตามได้ [9, 10]. จากข้อมูลของ WJP พบว่าจุดอ่อนที่สุดของไทยคือด้าน "การจำกัดและตรวจสอบอำนาจรัฐ" ซึ่งอยู่อันดับที่ 101 ของโลก สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจอย่างชัดเจน [11].
2. เริ่มต้นจาก 3 เรื่องเร่งด่วน: ท่านเสนอว่ารัฐบาลปัจจุบันควรเริ่มต้นจากการผลักดัน 3 ประเด็นสำคัญ คือ:
◦ การต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-corruption)
◦ การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ (Open Government)
◦ การปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform) [12, 13]
3. ใช้แนวทางร่วมมือกันทั้งสังคม (Whole Society Approach): การปฏิรูปจะไม่มีทางสำเร็จได้หากทำโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง [14]. ต้องอาศัยการ "กดดันและผลักดันร่วมกัน" จากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาครัฐ [14]. ท่านชี้ว่าภาคประชาสังคมของไทยมีความกล้าหาญและมีแนวคิดที่ชัดเจน แต่ยังขาดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ [15].
4. ใช้มาตรฐานสากลเป็นแรงผลักดัน: การที่ประเทศไทยมีความต้องการจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สามารถใช้เป็นกลไก "แรงดึงจากต่างประเทศ (International Pull)" ควบคู่ไปกับ "แรงผลักจากภายในประเทศ (Domestic Push)" เพื่อสร้างมาตรฐานและผลักดันให้เกิดการปฏิรูปอย่างจริงจัง [12].
5. สร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ (Civic Education): ท่านย้ำว่าการปฏิรูปที่ยั่งยืนต้องมาจากการสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิและความเป็นพลเมืองให้แก่ประชาชนตั้งแต่ระดับเยาวชน เพื่อให้เข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ได้จบแค่การเลือกตั้ง แต่คือการตรวจสอบและสร้างความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นกับผู้มีอำนาจ [16].
สุดท้าย ดร. กิตติพงษ์ ได้อ้างถึงคำกล่าวของ นพ. ประเวศ วะสี ที่ว่า "หลักนิติธรรมที่ดีไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมสร้าง" เพื่อย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนในสังคมลุกขึ้นมาลงมือทำร่วมกันอย่างจริงจัง [17].
--------------------------------------------------------------------------------
วิสัยทัศน์ ดร. วีรทัย: ปฏิรูปโครงสร้างรัฐไทย
ได้เลยครับ นี่คือสรุปรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ ดร. วีรทัย สันติประภพ จากการเสวนาในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย (Thailand's Institutional Reform)” โดยเน้นประเด็นสำคัญที่ท่านได้นำเสนอครับ [1, 2]
ดร. วีรทัย ได้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาของระบบราชการเป็น ปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่ปัญหาของตัวบุคคล [3] ท่านเชื่อว่าในระบบราชการมีข้าราชการที่เก่งและทุ่มเทจำนวนมาก แต่ที่การพัฒนาไม่เป็นไปตามเป้าหมายเพราะตัว “ระบบ” เป็นตัวถ่วง [3] ท่านได้วิเคราะห์ปัญหาและความคาดหวังของประชาชนต่อระบบราชการไว้หลายมิติ ดังนี้ครับ
ปัญหาและความล้มเหลวของระบบราชการ
1. เป็นตัวถ่วงผลิตภาพ (Productivity) ของประเทศ: ภาคประชาชนและธุรกิจมองว่าระบบราชการเป็นตัวถ่วงการพัฒนา [3] เนื่องจากบริการของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจถือเป็นต้นทุนในการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจของทุกคน [4] เมื่อระบบราชการมีผลิตภาพต่ำ เช่น ขั้นตอนการขอใบอนุญาตที่ล่าช้า หรือรัฐวิสาหกิจไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะกลายเป็นต้นทุนที่ถ่วงผลิตภาพของภาคเอกชนไปด้วย [4]
2. ขาดความสามารถในการปรับตัว (Adaptability): ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วและซับซ้อน ภาครัฐควรเป็นผู้นำในการปรับตัวและสร้างนวัตกรรม [4] แต่ประเทศไทยกลับมีปัญหาในการรับมือกับโจทย์ใหม่ๆ ของประเทศ [5] ตัวอย่างเช่น ปัญหาการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต แต่กลับ ไม่มีหน่วยงานราชการใดรับเป็นเจ้าภาพออกกฎหมาย เพื่อรองรับเทคโนโลยีดักจับและจัดเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) ทั้งที่เราพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนประเทศอื่นในอาเซียนอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งตอนนี้ได้ประกาศตัวเป็นศูนย์กลาง (Hub) ไปแล้ว [6]
3. แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้ผล: ภาคเดียวที่มีกลไกในการลดความเหลื่อมล้ำคือภาครัฐ ผ่านนโยบายสวัสดิการและการพัฒนาคน [7] แต่บันไดทางสังคมที่สำคัญที่สุดคือ การศึกษา กลับยังไม่สามารถยกระดับคุณภาพให้ทัดเทียมประเทศอื่นได้ แม้จะใช้งบประมาณจำนวนมากก็ตาม [7]
4. ภูมิคุ้มกันของประเทศต่ำลง: ดร. วีรทัย ชี้ว่าภูมิคุ้มกันของประเทศ โดยเฉพาะด้านการคลัง กำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ สะท้อนจากการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody's และ Fitch Ratings ได้ปรับลดแนวโน้ม (Outlook) ของประเทศไทยเป็นลบ [8]
--------------------------------------------------------------------------------
ทำไมการปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมาจึงไม่สำเร็จ?
ดร. วีรทัย ได้ตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุที่ทำให้การปฏิรูปภาครัฐที่ผ่านมาไม่บรรลุผลสำเร็จไว้ 5 ประการ [8]:
1. ทำแค่ Modernization ไม่ใช่ Transformation: เป็นเพียงการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมการทำงานแบบเดิมๆ แต่ไม่ได้เกิดการ "พลิกโฉม" (Transformation) ในเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ธรรมาภิบาล (Governance) [9]
2. เน้นการแตกหน่วยงาน (แตกกล่อง) มากกว่าการควบรวม: ทำให้เกิดการทำงานแบบแยกส่วน (Silo) ขาดการประสานงานในแนวราบ (Horizontal) และเกิดความซ้ำซ้อน [10] ยิ่งมีหน่วยงานมาก การประสานงานเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและข้ามมิติยิ่งทำได้ยากขึ้น [11]
3. ยึดกรอบกฎหมายเดิมเป็นหลัก: กฎหมายมักจะล้าสมัยตั้งแต่วันที่ออกมา เพราะถูกสร้างเพื่อแก้ปัญหาในอดีต และไม่ได้มีการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Process) ให้เท่าทันโลก [11]
4. วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้ออำนวย:
◦ เน้นระบบอุปถัมภ์ มากกว่าคุณธรรมและความสามารถ โดยเฉพาะเมื่อการเมืองเข้ามามีบทบาท [12]
◦ เน้นพิธีกรรม มากกว่าเนื้อหาสาระ (Substance) [12]
◦ วัฒนธรรมที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง: ข้าราชการไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องใหม่ๆ เพราะกลัวความผิดพลาด ทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้ไขและถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ [13, 14]
5. ขาดการยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชน (Accountability): กลไกการทำงานไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ยึดโยงกับประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง [14] ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การแต่งตั้งกรรมการในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนของข้าราชการระดับสูงจำนวนมาก ทั้งที่ภารกิจหลักของท่านเต็มเวลาอยู่แล้ว ทำให้เกิดคำถามถึง Accountability ต่อความสำเร็จขององค์กรนั้นๆ [15]
--------------------------------------------------------------------------------
ข้อเสนอ 8 ประการเพื่อ "ยกเครื่อง" ภาคบริการภาครัฐ
ดร. วีรทัย ได้เสนอแนวทาง 8 ข้อเพื่อปฏิรูปภาครัฐให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งหลายข้อสามารถเริ่มต้นได้ทันทีแม้รัฐบาลจะมีเวลาจำกัด [16]:
1. ต้องจัดการปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง: การปฏิรูปจะสำเร็จได้ยากหากไม่แก้ปัญหาคอร์รัปชัน เพราะจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจว่าการปฏิรูปนั้นทำไปเพื่อประโยชน์ของใคร [17] ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ "กินรวบ" (Extractive) ไปสู่โครงสร้างที่ "กระจายประโยชน์" (Inclusive) [18]
2. จำกัดบทบาทของรัฐ (Limit State's Role): รัฐควรทำหน้าที่ กำหนดนโยบาย (Policy Maker) และกำกับดูแล (Regulator) เป็นหลัก ไม่ควรลงไปเป็น ผู้ปฏิบัติ (Operator) เองในทุกเรื่อง [19] ควรปล่อยให้เอกชนทำในสิ่งที่ทำได้ดีกว่า ตัวอย่างความสำเร็จคือ การบินไทย ที่สามารถฟื้นฟูได้หลังออกจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ [20]
3. ยกเลิกกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัยแบบ "เหมาเข่ง": กฎหมายที่ออกมานานแล้ว (เช่น ก่อนปี พ.ศ. 2500) ควรถูกยกเลิก เว้นแต่หน่วยงานจะพิสูจน์ได้ว่ายังจำเป็น [21]
4. ปฏิรูป "กระบวนการปฏิรูปกฎหมาย":
◦ ตั้งหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระ เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย แทนที่จะให้หน่วยงานเจ้าของกฎหมายประเมินตนเอง [22]
◦ ปรับแนวคิดกฎหมายให้ทันสมัย เช่น พ.ร.บ. ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรปรับให้ธุรกรรมดิจิทัลเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพียงข้อยกเว้น [23]
5. ออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ (Redesign Process) โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ [24, 25] หากนำเทคโนโลยีมาใช้กับกระบวนการแบบเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะยิ่งทำให้การแก้ไขในอนาคตยากขึ้น [26]
6. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่กล้ารับความเสี่ยง: ปรับโครงสร้างแรงจูงใจ (Risk-Reward Structure) ให้ข้าราชการกล้าตัดสินใจและบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อประโยชน์ส่วนรวม [27]
7. กระจายอำนาจและสร้างภูมิคุ้มกันทางการคลัง: ลดขนาดภาครัฐส่วนกลางที่มีลักษณะ "หัวโต" และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น เพื่อสร้างการยึดโยงกับประชาชน [28] รวมถึงต้องจัดการทรัพย์สินของภาครัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจ ให้เป็นแหล่งสร้างรายได้ ไม่ใช่เป็นภาระงบประมาณ [29, 30]
8. ทำ Digital Transformation อย่างจริงจัง: ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเอกสารกระดาษเป็นดิจิทัล (Digitization) แต่ต้องปรับกระบวนการทำงานทั้งหมดให้เป็นดิจิทัล (Digitalization) ทั้งระบบของภาครัฐ (Whole Government) เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำ AI และ Open Data มาใช้สร้างความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพ [30-32]
สุดท้าย ดร. วีรทัย ทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็นเหมือน "กบต้ม" คือค่อยๆ เผชิญปัญหารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวจนสายเกินแก้ [33] ดังนั้น เรา ไม่ควรรอให้เกิดวิกฤตก่อนแล้วจึงปฏิรูป เพราะต้นทุนจะสูงมาก โดยเฉพาะกับคนระดับฐานราก แต่ควรลงมือทำทันทีในขณะที่ประเทศยังมีความเข้มแข็งอยู่ [34, 35] โดยอาจเริ่มจากการตั้งคำถามง่ายๆ ในหน่วยงานของตนเองว่า "จะเลิกทำอะไร" ที่ไม่สร้างประโยชน์และไม่ตอบโจทย์ของประเทศอีกต่อไป [35]
--------------------------------------------------------------------------------
ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย: ปัญหาและการปฏิรูปสถาบัน
ได้เลยครับ นี่คือสรุปเนื้อหาการพูดคุย (Talk) ของวิทยากรแต่ละท่าน จากการประชุมประจำปี 2568 ของ สศช. ในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย (Thailand's Institutional Reform)” ครับ
คุณดนุชา พิชยนันท์ (เลขาธิการสภาพัฒน์)
คุณดนุชาได้ฉายภาพรวมของปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ [1, 2]:
• ผลการดำเนินงานแผนฯ 13 ไม่เป็นไปตามเป้า: แม้จะใช้งบประมาณเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาทในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ [3, 4] เช่น รายได้ประชาชาติต่อหัวยังต่ำกว่าเป้า [5] และดัชนีความก้าวหน้าของคนกลับถอยหลัง [5] งบประมาณส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายประจำ เช่น การประกันสุขภาพ สวัสดิการสังคม และการศึกษา ซึ่งเป็นงานปกติ ไม่ได้นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมหรือเพิ่มผลิตภาพในภาคการผลิตอย่างที่คาดหวัง [4, 6]
• ปัญหาเชิงสถาบันคืออุปสรรคสำคัญ: ปัญหาหลักที่ทำให้การพัฒนาหยุดชะงักคือ โครงสร้างเชิงสถาบันที่อ่อนแอ [7, 8] ซึ่งฉุดรั้งศักยภาพของประเทศ โดยเฉพาะประสิทธิภาพของภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและเทคโนโลยี [9, 10]
• 5 ปัญหาหลักเชิงสถาบัน:
1. กฎหมายและกฎระเบียบ: มีจำนวนมาก ล้าสมัย และไม่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม [11]
2. การทุจริตคอร์รัปชัน: เป็นต้นทุนของภาคธุรกิจและประชาชน และทำให้รายได้ต่อหัวของประเทศไม่สูงเท่าที่ควร [12]
3. หลักนิติธรรม: ความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน [12, 13]
4. ประชาธิปไตย: ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบต่อนโยบายที่ควรจะต่อเนื่อง [14]
5. การบริหารจัดการภาครัฐ: มีขนาดใหญ่เกินไป ทำงานแบบควบคุมมากกว่าอำนวยความสะดวก และขาดนวัตกรรม [15, 16]
• ข้อเสนอแนะเพื่อการเปลี่ยนแปลง: คุณดนุชาเน้นว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัย 5 หลักการ คือ มีความมุ่งมั่น (Dare), ลงมือทำร่วมกัน (Action Together), กดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Pressure), ออกแบบกติกาใหม่ (Redesign) และมองว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน (Emergency) [17, 18]
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์
ดร. กิตติพงษ์ เน้นย้ำความสำคัญของ "หลักนิติธรรม" (Rule of Law) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็นแต่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ [19, 20]
• ปัญหาของหลักนิติธรรมในไทย:
◦ เป็นนามธรรมและถูกมองแยกส่วน: คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องของนักกฎหมาย ทั้งที่จริงแล้วเป็นหลักการของประชาชนเพื่อควบคุมการใช้อำนาจรัฐ [21]
◦ เชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจรัฐ: การปฏิรูปมักไม่สำเร็จเพราะไปติดขัดกับเจตจำนงทางการเมืองและผู้มีอำนาจ [22]
◦ ขาดเจ้าภาพและการบูรณาการ: ไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ [23]
• แนวทางการขับเคลื่อน:
◦ ทำให้เป็นรูปธรรมและวัดผลได้: ใช้กรอบการประเมินจากหน่วยงานระดับโลก เช่น World Justice Project (WJP) ซึ่งมีตัวชี้วัด 8 ด้าน เพื่อให้เห็นปัญหาที่ชัดเจน เช่น ด้านการจำกัดอำนาจรัฐ ที่ไทยได้อันดับต่ำมาก [24-26]
◦ สร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน (Whole Society Approach): การปฏิรูปจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือและแรงกดดันจากทั้งสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาสังคม และใช้มาตรฐานสากล (เช่น OECD) เป็นแรงผลักดัน [27, 28]
◦ รัฐบาลปัจจุบันควรเริ่มต้น: ควรให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องเร่งด่วน คือ การต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-corruption), การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ (Open Government), และการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform) [29]
◦ สร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ (Civic Education): ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เข้าใจสิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน [30]
ดร. วีรทัย สันติประภพ
ดร. วีรทัย วิเคราะห์ปัญหาของ "ระบบราชการ" ว่าเป็นปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่ตัวบุคคล และเป็นตัวถ่วงการพัฒนาประเทศในหลายมิติ [31, 32]
• ปัญหาของระบบราชการ:
◦ ทำแค่ Modernization แต่ไม่ใช่ Transformation: นำเทคโนโลยีมาใช้ในงานเดิมๆ แต่ไม่ได้เปลี่ยนกระบวนการทำงานหรือธรรมาภิบาล (Governance) [33]
◦ เน้นการแตกหน่วยงานมากกว่าควบรวม: ทำให้เกิดการทำงานแบบแยกส่วน (Silo) ขาดการประสานงานแนวราบ และหาเจ้าภาพสำหรับโจทย์ใหม่ๆ ของประเทศไม่ได้ [34]
◦ วัฒนธรรมองค์กรที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง: ข้าราชการไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องใหม่ๆ เพราะกลัวความผิดพลาด ทำให้การแก้ปัญหาล่าช้า [35]
◦ ขาดการยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชน (Accountability): การทำงานไม่ได้ตั้งอยู่บนประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก [36]
• ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูป:
◦ จำกัดบทบาทรัฐ: รัฐควรทำหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแล ไม่ใช่ลงไปเป็นผู้ปฏิบัติ (Operator) เองในทุกเรื่อง ควรปล่อยให้เอกชนทำในสิ่งที่ทำได้ดีกว่า [37]
◦ ปฏิรูปกระบวนการปฏิรูปกฎหมาย: ยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยแบบ "เหมาเข่ง" และตั้งหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระมาประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย แทนที่จะให้หน่วยงานเจ้าของกฎหมายประเมินตนเอง [38, 39]
◦ ออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ (Redesign Process): เน้นการปรับปรุงกระบวนการทำงานโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ [40]
◦ สร้างวัฒนธรรมที่กล้ารับความเสี่ยง: ปรับโครงสร้างแรงจูงใจให้ข้าราชการกล้าตัดสินใจและบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อประโยชน์ส่วนรวม [41]
◦ อย่ารอให้เกิดวิกฤต: ต้องลงมือปฏิรูปทันที เพราะการรอให้เกิดวิกฤตก่อนแล้วจึงแก้ จะสร้างต้นทุนมหาศาลให้กับสังคม [42]
ดร. ปิติ ตัณฑเกษม
ดร. ปิติ นำเสนอแนวคิด "Reinvent Thailand" โดยใช้บทเรียนจากโครงการที่ประสบความสำเร็จ เช่น พร้อมเพย์ และคนละครึ่ง มาเป็นโมเดลในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง [43, 44]
• ปัญหาโครงสร้างภาคธุรกิจ:
◦ นโยบายรัฐที่ผ่านมาเอื้อธุรกิจขนาดใหญ่: ทำให้เกิดโครงสร้างธุรกิจแบบ "ยักษ์ใหญ่แย่งไอติมเด็ก" ที่รายใหญ่แข็งแกร่งและขยายตัวลงมาแข่งขันกับธุรกิจขนาดเล็ก (SME) [45, 46]
◦ SME ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจกำลังจะตาย: SME ซึ่งจ้างงานกว่า 80% ของประเทศ ไม่สามารถแข่งขันได้ ทำให้ปัญหารายได้และความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น [47, 48]
◦ เศรษฐกิจนอกระบบและทุนสีเทาเติบโต: การคอร์รัปชันและกฎระเบียบที่เอื้อให้เกิดธุรกิจนอกระบบ ทำให้ SME ที่อยู่ในระบบยิ่งอยู่ยาก [49, 50]
• แนวทางการยกเครื่องโครงสร้าง:
◦ ใช้หลักคิด 3 ประการ: 1. Whole Society Approach: ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา [51] 2. Alternate Process: สร้างกระบวนการหรือ "ถนนเส้นใหม่" ขึ้นมาแทนที่ระบบเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพ เหมือนที่ "พร้อมเพย์" เข้ามาแทนที่การใช้เช็คและเอทีเอ็ม [51, 52] 3. Right Incentive: สร้างแรงจูงใจที่ถูกต้องให้คนดีได้ดี และดึงคนเข้าสู่ระบบ [51, 53]
◦ แยกบทบาท "สถาปนิก" กับ "ผู้รับเหมา": ภาคประชาสังคมและผู้เชี่ยวชาญควรทำหน้าที่ออกแบบ "พิมพ์เขียว" (Reinvent Thailand) ที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ ส่วนภาคการเมืองควรทำหน้าที่เป็น "ผู้รับเหมา" ที่นำพิมพ์เขียวนั้นไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง เพื่อให้แผนปฏิรูปสามารถอยู่รอดได้แม้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง [54]
◦ รัฐบาลชุดปัจจุบันควรติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก: แม้มีเวลาสั้น แต่สามารถเริ่มต้นในเรื่องสำคัญได้ เช่น การสร้างวินัยทางการเงิน ผ่านระบบเครดิตสกอร์เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน, การสนับสนุน SME ไทยแท้ ผ่านนโยบายจัดซื้อจัดจ้าง และ การผลักดันบริการภาครัฐสู่ดิจิทัล [55, 56]
Comments
Post a Comment